ปรบมือข้างเดียว ก็ดังได้
วิธีรักษาชีวิตสมรสด้วยมุมมองใหม่
ชีวิตของมาดามเมียฝรั่งไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอนอยู่แล้ว เพราะบ่อยครั้งความรักข้ามพรมแดน เชื้อชาติ ชนชั้น สีผิว ก็อาจทำให้มาดามเกือบถอดใจได้ บ่อยครั้งเครือข่ายฯได้รับคำถามว่า หากต้องการหย่ากับสามีสัญชาตินั้นสัญชาตินี้จะทำอย่างไรดี เรียกว่า บรรดาผู้ให้คำปรึกษาพลิกตำรากฎหมายกันแทบไม่ทัน เพราะความที่คนในอยากออกนั้นมีทุกรูปแบบ
แต่ช้าก่อน ลึก ๆ ในใจของมาดามก็ต่างต้องการความสุข ไม่อยากเดินถอยหลัง ไม่อยากล้มเหลวในชีวิตสมรส หรือมาดามอาจเกิดความสงสัยว่า ความรักที่เคยมีทำไมมันเลือนหาย เอ๊ะ หรือว่ามันยังไม่เลือนหาย ใครเปลี่ยนไปกันแน่ ยูหรือไอ แต่ปัญหาเฉพาะหน้ามันหนักหนานักจนไม่อยากจะสู้กับมันเลย สามีก็พูดไม่รู้เรื่อง มือที่สามก็เข้ามาแทรก จะง้ออย่างไรดี หรือสามีไม่ได้ดังใจ ถอดทิ้งเหมือนรองเท้าแล้วหาคู่ใหม่ใส่ดีกว่าไหม
หากชีวิตสมรสของมาดามกำลังง่อนแง่นเช่นนี้ มาดามก็คงจะคิดทางออกได้ไม่กี่ทาง และทางออกที่เด่นที่สุดในใจของมาดามก็คือ “เลิกกันดีกว่ามั้ง” ปรบมือไปข้างเดียวทำไม เมื่อเขาไม่แคร์ทำไมฉันจะต้องแคร์
แต่ทำไมมาดามไม่ลองย้อนคิดดูอีกทีว่า มีสัญญาณอะไรไหมที่บอกว่าชีวิตครอบครัวของมาดามยังมีหวังอยู่ กว่าจะรักกันฟันฝ่าข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามด่านวีซ่าไม่รู้กี่ด่านก็ยังผ่านมาแล้ว เรื่องแค่นี้จะผ่านไม่ได้เลยหรือ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการช่วยเหลือคู่สมรส (Joe Beam, PhD ผู้ก่อตั้งและประธานของ Marriage Helper) ได้กล่าวไว้ว่า “ขณะที่การสมรสจำนวนหนึ่งต้องจบลงเพราะทั้งสองฝ่ายต้องการอย่างนั้น อย่างไรก็ดี แม้แต่ในคู่สมรสที่ประสบความคับแค้นใจมากที่สุด ก็มักมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่พยายามจะรักษาชีวิตครอบครัวไว้อย่างสุดความสามารถเสมอ (โดยเฉพาะฝ่ายหญิง)” กล่าวคือ แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะอยากเดินจากไปแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็พยายามรั้งเอาไว้ ด้วยความหวังว่าจะกลับมารักกันเหมือนเดิมได้อีกครั้ง มาดามหรือสามีของมาดามอาจเป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น “ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบบคุณค่าของชีวิตคู่ หรือถ้าคุณรู้สึกว่า ชีวิตแต่งงานคือการผูกพันสัญญาระยะยาวตลอดชีวิต นั่นคือเครื่องหมายว่าสถานการณ์ของคุณอาจจะดีขึ้นได้”
“ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบบคุณค่าของชีวิตคู่ และเชื่อว่าชีวิตแต่งงานคือการผูกพันสัญญาระยะยาวตลอดชีวิต นั่นคือเครื่องหมายว่าสถานการณ์ของคุณอาจจะดีขึ้นได้”
ขณะเดียวกัน Rachel Russo ผู้เชี่ยวชาญประจำกรุงนิวยอร์คว่าด้วยเรื่องการนัดพบและความสัมพันธ์ที่มีประสบการณ์จับคู่มามากกว่า ๑๐ ปี แถมยังมีปริญญาโทด้านการให้คำปรึกษาคู่สมรสและครอบครัวพ่วงท้าย กล่าวไว้ว่า การอยู่กับปัจจุบันขณะ (หรืออยู่กับความเป็นจริง) และการรู้จักตัวเอง จะทำให้มาดามมองเห็นความเป็นจริงว่า “ตัวคุณ” มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางลบได้อย่างไรบ้าง “เราผิดพลาดกันได้ทุกคน แต่การเข้าใจความผิดพลาดของตัวเอง หมายความว่าเรายังมีความหวัง” ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า “แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาโทษอีกฝ่ายอยู่อย่างเดียว คุณสามารถมองย้อนเข้ามาดูกลไกความคิดและพฤติกรรมของตัวเองว่ามีส่วนในการสร้างปัญหาอย่างไร และคุณสามารถหาวิธีแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยวิธีนี้ คุณจะเริ่มเห็นอกเห็นใจคู่สมรสของคุณมากขึ้น และเข้าใจว่าคุณได้ทำความเจ็บช้ำให้อีกฝ่ายอย่างไร ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) นี้จะช่วยให้คุณค้นพบและรักษาความรักให้หอมหวานทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น”
ต่อไปนี้คือ “วิธีมอง” ที่ช่วยให้ชีวิตสมรสของมาดามยังมีความหวังและปรมมือข้างเดียวได้มีเสียงดัง
1. คุณไม่ใช่ภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เพราะ Amy Spencer ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Meeting Your Half-Orange และผู้ชำนาญด้านการสร้างสุข (Happiness Expert) เน้นว่า การที่มาดามมองตัวเองเปลี่ยนไปจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของมาดามอย่างไรบ้าง “ในทุกความสัมพันธ์ มันจะมีพลังงานของมันอยู่ ในทุกการกระทำ (กิริยา) จะมี ‘ปฏิกิริยา’ ที่เท่ากันย้อนกลับมา ใช่ไหม” เธอตั้งคำถาม “ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมองเห็นพฤติกรรม อารมณ์ หรือทางเลือก ‘ของเขา’ ว่าอาจจะมีผลกระทบกับพฤติกรรม อารมณ์ และทางเลือก ‘ของคุณ’ ถ้าคุณสามารถยกตัวอย่างคำพูดที่คุณพูดวิจารณ์เขาอย่างไม่เป็นธรรม การกระทำแย่ ๆ ของคุณ หรือการที่คุณทำร้ายจิตใจเขาก่อนได้เป็นฉาก ๆ เมื่อไร เมื่อนั้นคุณจะเห็นว่า พลังงานและพฤติกรรมของคุณเป็นตัวสร้าง (catalyst) ปฏิกิริยาทางลบในระหว่างคุณสองคนได้อย่างไรบ้าง” ถ้ามาดามเปลี่ยนวิธีการพูดและการกระทำในสถานการณ์บางอย่าง ก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแบบใหม่ ๆ จากสามีของมาดามได้ “ถ้าคุณสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ และยอมรับว่าบางครั้งคุณก็ผิด นั่นคือสัญญาณว่าชีวิตสมรสของคุณยังพอเยียวยาได้”
ถ้ามาดามเปลี่ยนวิธีการพูดและการกระทำในสถานการณ์บางอย่าง ก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแบบใหม่ ๆ จากสามีของมาดามได้
2. สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกดี
บางทีเมื่อได้กลิ่นโคโลญน์อ่อน ๆ หรือได้ทานซุปมะเขือเทศชามเด็ดของเขา แล้วมาดามรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้ง ขอให้รักษาช่วงขณะนั้นไว้ในใจและใช้ให้เป็นประโยชน์ Spencer อธิบายว่า “กลิ่นหอมประจำตัวเป็นหนึ่งในสัมผัสที่ช่วยเร้าความทรงจำด้านอารมณ์ของมนุษย์ได้ดี หากว่าน้ำหอมของเขา หรือกลิ่นเหงื่อหลังออกกำลังกาย ยังทำให้คุณรู้สึกดี ไม่เบือนหน้าหนีอย่างแหนงหน่าย นั่นคือข่าวดี” ผู้เชี่ยวชาญคนนี้กล่าวว่า มันเหมือนกับจมูกของคุณบอกคุณว่า ลึกลงไปในสมองแล้ว คุณยังเก็บเขาไว้ใจกลุ่มคนที่ ‘น่าคบหา’ “นอกจากนั้น คุณยังควรมองหาความรู้สึกหวาน ๆ ในเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตด้วยว่า มีสิ่งไหนเกี่ยวกับเขาที่ทำให้คุณรู้สึกดี ๆ หรือ ทำให้นึกถึงวันดี ๆ ขึ้นมาได้บ้าง”
3. เขาแอบนอกใจและกลับมาตายรัง
“การคบชู้สู่ชายสู่หญิงและการนอกใจกัน ไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตสมรสเสมอไป” คือคำกล่าวของ April Masini ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์อีกคนหนึ่ง และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Romantic Date Ideas ซึ่งแนะนำให้ผู้หญิงรู้จักนัดหมายกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ ‘ที่บ้าน’ และสอนวิธียั่วยวนใจชายแบบได้ผลเต็มร้อย ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เชื่อว่า ในกรณีของการนอกใจ จะมีเรื่องของความเศร้าเสียใจ รู้สึกถูกหักหลัง หรือ โกรธเกรี้ยวเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแอบไปมีกิ๊ก และเป็นเรื่องที่ส่วนใหญ่ให้อภัยกันไม่ได้ รวมทั้งทำลายความเชื่อใจในกันและกันอย่างสิ้นเชิง แต่ Masini ยังเชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายก็ยังสามา รถรักษาชีวิตสมรสให้ราบรื่นได้ “สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องระลึกถึงก็คือ การนอกใจส่วนใหญ่นั้นเป็นปัญหามาจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัว การร้าวฉานและเบื่อหน่ายที่ซ่อนตัวอยู่และไม่ได้รับการแก้ไข ความห่างเหินขาดความใกล้ชิดอย่างมีคุณภาพ ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ผิด ไม่ว่าจะฝ่ายนอกใจหรือฝ่ายช้ำใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ ดังนั้น เมื่อคู่สมรสมองเห็นว่าการแอบนอกใจนั้นเป็นผลของปัญหาในชีวิตสมรสที่ถูกละเลย โดยไม่ตราหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่ก็จะพร้อมร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหานี้และรักษาความกลมเกลียวไว้ในระยะยาว”
สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ การนอกใจส่วนใหญ่นั้นเป็นปัญหาที่บ่มเพาะมาจากความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานหรือซ่อนตัวลึกภายในครอบครัว มันไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ผิด
อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ของฝรั่งใช้กับหญิงไทยได้ยาก เพราะเรามีความเชื่อแน่นแฟ้นว่า ผัวข้าใครอย่าแตะ ฆ่าได้หยามไม่ได้ อันนี้มาดามก็ต้องเลือกเอาเองนะคะ ว่าจะรักษาหน้าหรือรักษาชีวิตคู่ครองเอาไว้
4. ครอบครัวสำคัญเหนืออื่นใด
“สิ่งที่เข้มแข็งที่สุดของครอบครัวหนึ่ง ๆ ก็คือช่วงเวลาเล็ก ๆ ในแต่ละวันที่ได้ใช้ด้วยกัน เช่น ไปกินไอศครีมหรือไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ” ผู้เชี่ยวชาญ Spencer กล่าวว่า อย่าใช้ลูกเป็นข้ออ้างว่าต้องทนอยู่หรือต้องหย่า แต่ขอให้คิดหลายตลบก่อนเซ็นเอกสารการหย่าว่า คุณกำลังทำลายสถาบันครอบครัว ขอให้คุณถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ คือ คุณยังชอบทำอะไรด้วยกันหรือเปล่า คุณรู้สึกเศร้าเมื่อต้องทำอะไรกับเด็ก ๆ โดยไม่มีพ่อของเด็กร่วมด้วยหรือเปล่า “ถ้าคุณชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว บางทีก็อาจจะคุ้มค่าที่จะรักษาชีวิตสมรสเอาไว้”
5. นัดหมายออกไปสวีทด้วยกัน
ใช่แล้วค่ะ ชีวิตมาดามอาจจะยุ่งเหยิงมากมาย ระหว่างงานนอกบ้าน ชีวิตในบ้าน และการดูแลลูก ๆ บางครั้งก็เป็นการง่ายที่จะทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วก็นั่งดูทีวีเฉย ๆ ระหว่างที่สามีของมาดามดื่มเบียร์อยู่ด้านหลัง แต่…อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด Leah Klungness ดอกเตอร์ด้านจิตวิทยาแห่งนิวยอร์คได้เตือนว่า การแต่งงานอยู่ร่วมบ้านกันโดยไม่มี ‘นัดหมาย’ จะทำให้บทบาทสามีภรรยาด้อยค่าลง “ถ้าคุณทั้งสองยังสามารถหาเวลา ‘อยู่กันสองคน’ ได้โดยไม่มีเด็ก ๆ มาเกี่ยวข้อง หมายความว่าชีวิตแต่งงานของคุณยังแจ๋วอยู่” บางทีคุณสองคนอาจไม่มีงบประมาณไปนั่งทานอาหารร้านหรู ๆ แต่การทำกิจกรรมที่ไม่มีเด็ก ๆ ไปร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรก็ตาม จะช่วยให้คุณสองคนได้ซาบซึ้งในกันและกันมากขึ้น และนั่นก็เป็นความรู้สึกที่วิเศษทีเดียว
“ถ้าคุณทั้งสองยังสามารถหาเวลา ‘อยู่กันสองคน’ ได้โดยไม่มีเด็ก ๆ มาเกี่ยวข้อง หมายความว่าชีวิตแต่งงานของคุณยังแจ๋วอยู่”
6. ปลอดภัยในการระบายอารมณ์ความรู้สึก
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการสมรสของมาดาม มาดามก็รู้ดีในใจว่า มาดามสามารถคุยกับสามีของมาดามเรื่องความรู้สึกที่แท้จริงได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าชีวิตคู่ยังมีความหวัง “เราทุกคนต่างต้องการการยอมรับในแบบที่เราเป็น” ผู้เชี่ยวชาญ Beam สรุป “การที่เราไม่ต้องเสแสร้งเป็นในสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เราเป็นนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากต่อความมีอัตลักษณ์ของเราเอง ถ้าคู่สมรสยังสามารถให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย ยอมให้เรามีความตัวของตัวเองได้ โดยไม่ตัดสินเราหรือปฏิเสธในสิ่งที่เราเป็น จะมีโอกาสสูงมากที่จะรักษาความสัมพันธ์เช่นนั้นเอาไว้ได้”
เราทุกคนต่างต้องการการยอมรับในแบบที่เราเป็น การที่เราไม่ต้องเสแสร้งเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่เรานั้นเป็นสิ่งสำคัญมากต่อความมีอัตลักษณ์ของเราเอง
7. สองคนเป็นทีมเดียวกัน
คู่สมรสควรมองตนเองว่าเป็นทีมเดียวกัน เพราะโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนยิ่งจะมีสูงขึ้น Beam ย้ำว่า “การที่คู่ครองมองเห็นตนเองเป็นคนสองคนที่พอเพียงในตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมในทางจิตวิทยา แต่หากสองคนมาร่วมอัตลักษณ์ (เรา ของเรา) กัน โอกาสที่สองคนจะช่วยกันหาทางออกเพื่อผ่าทางตันของปัญหาชีวิตคู่จะยิ่งมีสูงมากขึ้น และพวกเขาจะค้นพบศักยภาพภายในที่จะช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรคต่าง ๆ”
8. กุ๊กกิ๊กคิกขุกันสองเรา
เมื่อเส้นทางชีวิตสมรสเริ่มขรุขระ มาดามคงไม่นึกอยากมีอะไรกันบนเตียงกับสามีของมาดามใช่ไหม แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Rachel Russo ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ถึงแม้คุณจะไม่มี ‘มู้ด’ แต่ถ้าคุณคิดอยากมีอะไรจู๋จี๋กัน ก็เป็นเครื่องหมายความคุณยัง ‘ต้องการ’ ที่จะใกล้ชิดสนิทเนื้อกับเขาอยู่ ความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่แต่งงานของมาดามแม้ในภาวะที่ยังขัดแย้งกันอยู่ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ ลงไปแล้ว คุณสองคนยังเป็นคู่กันอยู่ “หากคุณรู้สึกว่าการไม่ได้นอนด้วยกันเป็นเรื่องผิดปกติในชีวิตสมรส ก็แสดงว่าคุณกำลังมองหาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับรักษาชีวิตแต่งงานในระยะยาว” มันเป็นเครื่องหมายว่า มาดามยังใยดีกับคู่ครองของมาดามและต้องการรักษาชีวิตคู่เอาไว้ให้ได้
เราคงเคยได้ยินว่า ผัวเมียทะเลาะกันแต่ลูกหัวปีท้ายปี อย่างนี้เราจะสรุปว่าอย่างไรดี
9. ความทรงจำที่ยังแจ่มชัด
นึกถึงเวลาที่มาดามกับว่าที่สามีดริ๊งค์ด้วยกันแล้วเปลือยกายลงไปว่ายน้ำทะเลในที่ลับตาคนสิ หรือการชนแก้วเครื่องดื่มแชงเกรียระหว่างมาดามกับสามีตอนไปฮันนีมูนที่สเปน หรือครั้งแรกที่มือแอบถูกกันตอนควานหาข้าวโพดคั่วกระป๋องเดียวกันในโรงหนังจนเหมือนไฟฟ้าดูด ความทรงจำที่ทำให้มาดามยิ้ม ความจำในเรื่องราวที่ดี ๆ เวลาที่หรรษา – สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ควรค่าแก่การถนอมรักษาไว้ ตามคำยืนยันของ Russo “ความทรงจำที่ยอดเยี่ยมก็เป็นเหมือนกาวใจที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่เปราะร้าวยิ่งไปกว่านี้ เมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มยากขึ้น คนเรามักจะย้อนกลับไปคิดถึงช่วงที่มีความสุขด้วยกัน และมีความหวังว่าจะมีภาวะลมหวนได้” Russo เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะหวนไปคิดถึงความรักที่เรามีมากมายในอดีต เพราะมัน “ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจที่จะพยายามให้หนักขึ้นเพื่อรักษาชีวิตแต่งงานเอาไว้ ด้วยการนำความรู้สึกดี ๆ ให้หวนคืนมาในใจเรา และเริ่มสร้างความทรงจำชุดใหม่ที่งดงามด้วยกัน”
ความทรงจำที่ยอดเยี่ยมและอบอุ่นเป็นเหมือนกาวใจที่จะทำให้ความสัมพันธ์ไม่เปราะร้าวยิ่งไปกว่านี้
ทั้งเก้าข้อสั้น ๆ ง่าย ๆ นี้คงช่วยให้มาดามได้คิดไม่มากก็น้อย แง่คิดเหล่านี้ก็เปรียบเหมือน ‘ตัวช่วย’ ให้มาดามปรบมือข้างเดียวก็ดังได้ เพราะเมื่อมาดามเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตครอบครัวมากขึ้น ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ในตัวสามีเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงในทางบวกก็จะเป็นผลตามมา แล้วสามีก็จะยกมืออีกข้างมาช่วยกันปรบให้ดัง เรียกว่าเป็นสถานการณ์แบบชนะทั้งคู่ หรือ win-win นั่นเอง
บทความชิ้นนี้อาจมีความเป็นนมเนยสูง เพราะผู้เรียบเรียงต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อมาดามเป็นเมียฝรั่ง ก็จำเป็นต้องรู้วิธีคิดแบบฝรั่ง หรืออย่างภาษิตเขาว่า ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม’ หรือ ‘เข้าเมืองโรม ต้องทำตามชาวโรมัน’ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจะให้มาดามได้แนวคิดที่เป็นสากลนำไปปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตคู่ในต่างแดนได้จริง
ด้วยรักจากใจ
จาก “9 Important Signs Your Marriage Can Be Saved”
โดย CHRISTINE COPPA วันที่ต้นฉบับ DEC 23, 2015
แหล่งอ้างอิง 9 signs on how to save your marriage