หนูรักแม่ แต่หนูก็รู้สึกว่าแม่ทำชีวิตของหนูพัง หนูรักแม่ แต่หนูรู้สึกว่าถ้าไม่มีแม่อยู่ใกล้ ชีวิตหนูคงจะมีความสุข
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ดิวอยากจะขอร้องให้คุณแม่ที่มีลูกติดมาจากไทยให้อ่านบทความนี้ให้จบ หรือแม่ที่มีลูกครึ่งที่นี่ที่ยังปรับความคิดตัวเองไม่ได้ ยังไม่เปิดกว้างมองโลกใหม่ขอให้อ่านเถอะค่ะ เพราะดิวไม่อยากให้คุณที่เป็นคนสำคัญในชีวิตลูก กลับกลายเป็นคนทำร้ายชีวิตลูกของคุณเอง
ดิวเป็นแอดมินเพจ มนุษย์แม่เมืองหนาว@นอร์เวย์ ค่ะ มีโอกาสได้พูดคุยกับแม่คนไทยที่มีปัญหาชีวิต และเด็กๆไทยที่ย้ายตามแม่มาอยู่ที่นอร์เวย์ ช่วยทางด้านพูดคุย ให้คำแนะนำ และส่งเสริมทางด้านจิตใจ ดิวได้ทราบว่ามีเด็กหลายคนที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต เพราะผลกระทบหลายอย่างหลังจากย้ายมาอยู่ที่นอร์เวย์ บางคนเกิดปัญหา แอบไปหาหมอเองก็มีที่บ้านไม่เคยรู้
ฟังเสียงเล็กๆจากลูกติดบ้าง
ช่วงนี้ดิวมีโอกาสได้คุยกับเด็กวัยรุ่นหลายๆคน และทุกๆคนแทบจะพูดสิ่งในใจเหมือนๆกัน แต่ชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามนิสัยของผู้ปกครอง และสังคมครอบครัวที่เคยผ่านชีวิตมา ในจุดนี้ดิวเข้าใจและเผื่อใจไว้ส่วนนึงในการฟังความจากฝ่ายเดียว แต่เชื่อไหมว่า ในเนื้อหาเรื่องราวที่เด็กพูดกับสอดคล้องกันไปหมด เด็กเองมีความเจ็บปวด หวาดกลัวชีวิต สับสน ไม่เข้าใจ ไม่มีทางออก แต่อย่างหนึ่งคือ เค้ายังรักแม่ ดิวได้คุยกับเด็กแล้วเจ็บปวดไปกับสิ่งที่ได้ยินทุกครั้ง ดิวถึงอยากจะเปิดห้องเด็กไทยในนอร์เวย์ เพื่อให้เด็กรู้ว่า มีคนพร้อมที่จะรับฟังเค้าเสมอ
ดิวอยากจะบอกว่า เด็กที่ต้องย้ายถิ่นฐานตามแม่มาอยู่ในโลกใบใหม่ สังคมใหม่ ภาษาใหม่ ชีวิตใหม่ มีความกังวล มีความกลัวแฝงอยู่ทุกคน เด็กอาจจะบอกหนูทำได้ หนูไหว หนูโอเค เพราะกลัวการที่จะต้องแยกจากแม่ หรือกลัวแม่จะส่งกลับไทย เพราะคุ้นเคยกับชีวิตใหม่ไปแล้ว และความเป็นเด็ก ความไม่สนิทสนมกับแม่ ความกลัวในฐานะลูกที่สังคมไทยมักจะสอนให้กลัวพ่อแม่ ทำให้เค้าไม่กล้าที่จะพูดที่จะแสดงออกมา กลายเป็นความเจ็บปวด ความเก็บกด
สำรวจความพร้อมของตัวแม่เอง
เมื่อคุณแม่อยากจะพาลูกมาอยู่ที่นี่กับคุณ เพราะคุณรัก หวังดีกับลูก แต่เท่านั้นมันยังไม่พอค่ะ สิ่งที่คุณควรรู้ และต้องคิดคือ
1. คุณรู้จักลูกคุณดีแค่ไหน คุณเคยเลี้ยงดูเค้าเองไหม เคยได้พูดคุยอะไรกับลูกบ้าง เคยได้รับรู้ชีวิตความเป็นไปของลูกแค่ไหนบ้าง
2. คุณพร้อมที่จะซัพพอร์ตความรู้สึกของลูกมากน้อยแค่ไหน เมื่อคุณต้องพาเค้ามาอยู่ด้วยที่นี่ โลกใหม่ไม่ได้ลำบากและน่ากลัวไปทั้งหมด ถ้าลูกมีที่พึ่ง คุณพร้อมไหมที่จะทำแบบนั้น คุณพร้อมไหมที่จะดูแลอารมณ์ของตัวและลูก พร้อมไหมกับการที่จะจับมือกันให้แน่นและสู้ไปด้วยกัน
3. คุณพร้อมที่จะช่วยเหลือแนะแนวชีวิตใหม่ให้ลูกคุณไหม คุณมีข้อมูลอะไรให้ลูกบ้าง ช่วยเหลืออะไรให้ลูกได้บ้างด้านภาษา ช่วยเหลืออะไรได้บ้างตอนเค้าอยากจะได้ความช่วยเหลือ คุณพร้อมขนาดไหน
4. คุณพร้อมที่จะเปิดใจตัวเองในการยอมรับสังคมใหม่หรือยัง เมื่อคุณมาอยู่ในสังคมเปิดกว้างทางด้านความคิด ที่แตกต่างจากไทยโดยสิ้นเชิง คุณพร้อมไหมที่จะยอมรับมัน เลิกใช้วิถีไทยๆกับลูก คุณพร้อมที่จะเรียนรู้และยอมรับในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความคิดของลูกไหม
5. คุณรู้ไหมว่า ชีวิตลูกคุณ คุณไม่ใช่เจ้าของ คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจว่า ลูกคุณจะเรียนอะไร จะสอบอะไร ต้องคิดอะไร ต้องทำตามทุกอย่าง โดยมีคุณเป็นคนตัดสินใจและตั้งกฏข้อบังคับในชีวิตของลูก เพราะคุณคิดว่ามันสมควร โดยที่ไม่ได้ถามความคิดของลูกเลย
6. ทุกอาชีพ ทุกคนที่นี่มีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ทุกคนถือว่ามีความสามารถ และมีความสุขได้จากการทำงานที่ตัวเองชอบ ตัวเองสนใจ ดังนั้นไม่ว่าลูกอยากจะทำงานอะไร ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ที่จะบอกลูกว่ามันงานต่ำ มันงานไม่ดี
7. ก่อนพูดอะไรกับลูก คุณได้ไตร่ตรองหรือยัง คนใกล้ตัวคือคนที่จะอยู่กับเราเสมอ มีชีวิตผูกพันธ์ต่อเนื่องกัน ดังนั้นคนใกล้ชิดนี่แหละที่สำคัญมาก ต้องพูดจากันให้ดี ใช้คำที่ดีต่อกัน เพราะถ้าเราใช้คำแย่ๆต่อกันบ่อยๆ คนรับสารก็จะเกิดความเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ
8. เลิกเขียนด่าลูกบนโซเชี่ยล หรือโทรด่าลูกตอนโมโหให้ญาติพี่น้องฟัง คุณเชื่อไหมว่า คนอื่นพูดไม่ดีกับลูกคุณ 1,000 คน ลูกคุณอาจจะไม่เจ็บปวดและคิดมาก เท่าคุณที่เป็นแม่เพียง 1 คนที่พูดจาไม่ดีกับลูก
9. คุณเคยยอมรับในสิ่งที่ลูกคุณเป็นบ้างหรือยัง เด็กแต่ละคนมีนิสัยต่างกัน แต่เด็กเป็นกระจกสะท้อนซ่อนเงาหลอนของพ่อแม่ได้ดี คุณเกรี้ยวกราดใส่ลูก ลูกก็เกรี้ยวกราดใส่คุณ คุณเองเป็นคนปลูกเพาะพันธุ์ตัวตนให้ลูกคุณเอง เวลาลูกทำนิสัยอะไรไม่ดี อย่าเพิ่งว่าลูก ให้ย้อนมองนิสัยตัวเองก่อนอันดับแรก
10. คุณเคยกอดลูกคุณกี่ครั้ง การกอด ถือเป็นการให้ความอบอุ่น ความปลอดภัย กำลังใจอย่างหนึ่ง อย่าบอกลูกโตแล้วกอดไม่ได้ ความอาย ความเขินเค้ามี แต่ในใจน่ะอยากให้กอด
11. เมื่อลูกพลาดอย่าเหยียบย่ำ กระทืบลูกให้จมดิน คนเราพลาดกันได้ เรื่องที่ผ่านไปแล้วคือผ่านแล้ว มองปัจจุบัน และอนาคตดีกว่า เอาเรื่องอดีตมาเป็นประสบการณ์และการสั่งสอน เพื่อสนับสนุนให้ลูกก้าวไปในทางที่ถูกต้อง และดีขึ้น
12. คุณเคยถามลูกบ้างไหม ว่าลูกเหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้างถึงแม้ลูกจะดูไม่มีปัญหาอะไรเลย บางครั้งลูกยังยิ้ม ลูกยังคุยปกติไม่ใช่แต่ไม่ใช่ว่าเค้าจะมีความสุขเสมอไป ขอแค่มีใครสักคนพร้อมที่จะเข้าใจ พร้อมที่จะรับฟัง ความเจ็บในรอยยิ้มมันก็จะถูกระบายออกมา
13. คุณต้องยอมรับว่า มุมมองของคุณ กับมุมมองของลูกคุณมันต่างกัน เพราะอายุ และประสบการณ์ชีวิตมันต่างกัน ดังนั้นอย่ามัวแต่โทษลูกว่าทำไมทำแบบนั้น ทำไมคิดแบบนั้น ถ้าเค้าคิดได้เหมือนคุณ เทียบเท่าคุณเค้าก็ไม่ใช่ลูกคุณแล้ว แต่ก็ไม่แน่เด็กบางคนคิดได้ดีกว่า ผู้ใหญ่ก็มากค่ะ
14. คุณควรรู้ว่าการทำร้าย ทุบตี ข่มขู่ลูก ผิดกฏหมาย และไม่ใช่หนทางการสั่งสอน การกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำต่ำทราม ระบายอารมณ์ของคนที่มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นเท่านั้น สร้างแต่ความเจ็บปวด บาดแผลในใจ ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย ปรับตัว ปรับความคิด เลิกทำเถอะค่ะ
15. คุณเคยทำให้ลูกรู้ไหมว่า คุณภูมิใจในตัวเค้าขนาดไหน ไม่ใช่มีแต่ตำหนิ ติเตียน เย้ยหยัน
16. คุณบอกรักลูกคุณบ้างไหม คำว่ารัก และการแสดงออกมันสำคัญมาก เพราะมันเป็นกำลังใจให้ทุกคนในโลกใบนี้ ยิ่งโเยเฉพาะคนที่มีคุณเป็นจุดศูนย์กลางชีวิต มันยิ่งเป็นคำที่สำคัญมากๆ
17. คุณเคยพูดขอบคุณลูกกี่ครั้ง คำว่าขอบคุณนี่สำคัญนะ มันแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็น ได้รู้สึกว่า ชั้นทำสิ่งที่ดีแล้ว ทำอะไรดีๆให้ใครสักคน
18. คุณเคยขอโทษลูกคุณไหม เวลาที่คุณทำผิดต่อเค้า ไม่ว่าจะเป็นแม่ เป็นลูก ทุกคนสามารถยอมรับผิดได้ ถ้าตัวเองทำผิด ไม่มีใครรู้ไปทุกอย่าง ไม่ทีใครทำถูกไปทุกอย่าง แต่คนเราสามารถมองเห็น และยอมรับสิ่งที่ผิดได้
19. คุณเคยถามตัวเองไหม ทำไมอยากเป็นแม่ อยากมีลูก ชั้นพร้อมแค่ไหนกับการที่จะทำหน้าที่นี้ การมีลูกไม่ใช่แค่ท้อง คลอดออกมา เออ เดี๋ยวมันก็โตเลี้ยงไปเถอะ มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ชีวิตของคนคนนึงมันอยู่ในมือคุณ คุณปั้นแต่งเค้า คุณสร้างตัวตนของเค้าเลยนะ
20. คุณเคยยอมรับ รับฟังความคิดเห็นของลูกบ้างไหม หรือเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ชีวิตลูกเป็นของลูก พ่อแม่มีสิทธิ์แนะนำไม่ใช่บังคับและตัดสินใจ ให้ลูกได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจของเค้าเอง เพราะเค้าจะต้องอยู่กับชีวิตของตัวเองไปอีกนาน
ดิวหวังใจว่า บทความของดิว จะทำให้คุณแม่ได้ย้อนคิดอะไรขึ้นมาบ้างนะคะ เพราะความเจ็บปวดทางจิตใจไม่ใช่เรื่องสนุก การเป็นแม่คนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเป็น คุณเองต้องยอมรับ ปรับตัว และหาหนทางที่จะเดินไปด้วยกันกับลูกอย่างมีความสุขทั้งสองฝ่าย
ขอบคุณค่ะ
โดย Namkang Dewwy Dew
Photo by Min An at Pexels.com