ชีวิตคู่ดูดีขึ้น คุณทำได้
ชีวิตคู่ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ต้องมีคนสองคนอยู่ด้วยกันและแต่งงานกัน” เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น Harriet Lerner ผู้ถือปริญญาเอกและเป็นคนแต่งหนังสือดังเรื่อง The Dance of Anger กล่าวแถมว่า “แต่มีเพียงคนเดียวในคู่นั้นที่จะทำให้ความรักความสัมพันธ์ดีขึ้นกว่าเดิม” พูดอย่างนี้มาดามต้องตบเข่าฉาดแล้วร้องว่า “พูดอีกก็ถูกอีก ก็จะใครเล่า นอกจากอีฉันเองนี่แหละที่ทำหน้าที่ทุกอย่างในครอบครัว แล้วพ่อเจ้าประคุณยังไม่เห็นความดีอีก ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยแย่ ๆ เลย”
ในกรณีนี้ Lerner เตือนว่า การรอให้คู่สมรสเป็นฝ่ายเปลี่ยนตัวเองก่อนคือสูตรสำเร็จของความทุกข์และการหย่าร้าง เธอเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งชื่อว่า Marriage Rules ที่บรรยายวิธีการร้อยเวทีที่จะช่วยทำให้ชีวิตแต่งงานดีขึ้น — ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มจากตัวคุณเองและพฤติกรรมของคุณเองเท่านั้น
ชีวิตคู่เป็นเรื่องของสองคน แต่มีเพียงคนเดียวในคู่นั้นที่จะทำให้ความรักความสัมพันธ์ไปรอด
ต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะที่น่าประหลาดใจ 10 ข้อ
1) พูดไม่เกินสามประโยค (หรือน้อยกว่า)
ถ้าสามีของคุณบอกว่า “ไม่อยากพูด” หรือ “ไม่มีอะไรจะพูด” โดยทั่วไปเป็นเพราะเขาถูกพายุคำพูดจากคุณจนต้องล่าถอยไป ดังนั้นถ้าคุณจะคุยเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง ขอให้บรรยายให้จบในสามประโยค ตัวอย่างเช่น ให้พูดว่า “คุณบอกว่าจะช่วยทำความสะอาดบ้าน แต่คุณก็ไม่ทำ” แทนที่จะพูดว่า “คุณไม่ทำตามที่คุณพูดว่าจะทำ ถ้าฉันเชื่อใจคุณไม่ได้เรื่องงานบ้านแค่นี้ ฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อใจคุณในเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างไร แล้วแถมฉันยังเห็นเธอปล่อยหมาออกไปเล่นสกปรกที่สนามอีกด้วย บลา บลา บลา”
การชมจะช่วยเปิดประตูที่ปิดกั้นไว้ ทำให้เกิดนิสัยใหม่ ๆ ที่ดีสำหรับคุณสองคนด้วย
2) ทำให้เขางงด้วยคำชม
ทำให้สามีประหลาดใจด้วยการกล่าวชมเขาในตอนที่เขาคิดว่า คุณกำลังจะตำหนิ ตัวอย่างเช่น เขาไม่ชอบน้องชายตัวเอง และคุณสองคนก็เถียงกันด้วยเรื่องนี้บ่อย ๆ ลองดูคราวต่อไปเวลาเขาวางโทรศัพท์หลังจากพูดกับน้องชาย โดยพูดว่า “ฉันชอบเวลาที่คุณใช้อารมณ์ขันกับน้องนะ ทำให้เรื่องต่าง ๆ ดูง่ายขึ้น แล้วคุณก็ยังพูดตลกกับเขาด้วย” การพูดชมจะช่วยเปิดประตูที่ปิดกั้นไว้ มันเป็นเรื่องคาดไม่ถึง และมันทำให้เกิดนิสัยใหม่ ๆ ที่ดีสำหรับคุณสองคนด้วย
3) หยุดพูดประโยค “ฉันคิดว่า”
หลายคนรู้จักประโยชน์ของคำว่า “ฉัน” เพื่อแสดงให้คู่สมรสเห็นว่า “ตัวเรารู้สึกอย่างไร” แทนที่จะกล่าวโทษพฤติกรรมของอีกฝ่าย เช่น ถ้าคู่ครองของคุณเป็นคนมาสายเป็นประจำ แทนที่คุณจะพูดว่า “คุณมาสายนะ และมันไม่สุภาพที่มาสาย” ก็ให้พูดว่า “มันเป็นเรื่องลำบากสำหรับฉันเวลาคุณมาสาย เพราะฉันไม่รู้ว่าจะเตรียมอาหารเย็นตอนไหน” ด้วยวิธีนี้ คุณจะพูดถึงตัวปัญหาแทนที่จะมุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่ช้าก่อน ไม่ใช่ประโยคทุกประโยคที่ใช้คำว่า “ฉัน” จะถือเป็น “ประโยคแสดงความรู้สึกของฉัน” เสมอไป การพูดว่า “ฉันคิดว่า” ไม่ใช่การพูดเกี่ยวกับตัวคุณ ขอให้ระวัง ไม่ใช้คำพูดทำนองที่ว่า “ฉันคิดว่าคุณชอบควบคุม” หรือ “ฉันคิดว่าคุณปฏิบัติต่อฉันเหมือนแม่จอมบงการของคุณเลย” การพูดเช่นนี้จะทำให้เกิดสงครามย่อย ๆ ในบ้านได้
คุณไม่ต้องหาทางออกให้เขาหรือปลอบใจเขา คุณเพียงแค่รับฟังเท่านั้นพอ
4) เผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณกลัว
ถ้าคุณเบื่อแสนเบื่อที่จะต้องฟังพ่อเจ้าประคุณพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่องพาแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรา คุณจะต้องเป็นคนเริ่มการสนทนานั้นเสียเอง คุณอาจจะกังวลว่าคุณจะเป็นคนเปิดประตูอารมณ์ของสามี และจะต้องมาพูดเรื่องที่คุณอยากฟังน้อยที่สุด แต่คุณจะกังวลแบบนั้นไปตลอดกาลถ้าคุณไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง ที่จริงแล้ว พ่อตัวดีของคุณจะคุยเรื่องนี้ไม่รู้จบถ้ารู้ว่าคุณจะไม่ฟังเขา แต่ถ้าคุณเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาเล่าทุกอย่างทุกความรู้สึกในครั้งเดียว คุณก็ไม่ต้องคอยหาทางออกให้เขาหรือคอยปลอบใจเขา คุณเพียงแค่รับฟังเท่านั้นพอ
5) อย่าพูดคำว่า “เล้าโลม”
ใช่ ใช่แล้ว ใช่อย่างยิ่ง คู่สมรสจำนวนมากชอบพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ แต่ขอได้โปรดอย่าใช้ศัพท์เก๋า ๆ ยุคคุณตาคุณยายเลย คุณไม่ควรใช้คำว่า “เล้าโลม” เพราะคำ ๆ นี้ ไม่เพียงฟังดูไม่เข้าท่าไม่เซ็กซี่ แต่ยังแสดงว่าอะไรที่คุณทำน้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์กัน “ไม่ใช่ของจริง” อีกด้วย และเป็นแค่คำพูดสำหรับเตรียมตัวพร้อมสำหรับฉากถัดไปเท่านั้น
6) ฟังให้ได้คุณภาพ
การฟังคืองานทางจิตวิญญาณ การฟังเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่คุณสามารถให้แก่คู่ชีวิตของคุณได้ และคุณควรจะฟังให้บ่อยขึ้น แต่อย่างไรก็ดี บางครั้งคุณก็ควรจำกัดการฟังไว้บ้าง ไม่ใช้ต้องรีบฟังเดี๋ยวนั้นขณะนั้นทุกครั้งไป อย่างเช่น ถ้าสามีของคุณอยากคุยเรื่องที่เพิ่งไปเที่ยววันหยุดด้วยกัน ในขณะที่คุณกำลังช่วยลูก ๆ ทำการบ้าน หรือทำอาหารเย็น หรือกำลังเก็บเสื้อผ้าซัก คุณไม่มีสมาธิคุยกับเขา ในกรณีนี้ คุณอาจจะพูดว่า “ยังฟังไม่ได้ตอนนี้ ฉันต้องทำกับข้าว” ถ้าพูดเพียงแค่นั้นยังไม่พอ คุณควรจะเสริมด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า เดี๋ยวงานเสร็จแล้วคุณจะมาฟังเขาให้เต็มที่ แต่ตอนนี้ยังฟังไม่ได้
ในวันเวลาที่พวกคุณแรกรักกัน คงจะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่คุณทั้งคู่ชื่นชมในกันและกัน
7) รักและยกย่อง – เป็นอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เป็นสิ่งผิดถ้าคุณจะพูดว่า “คุณคือคนที่วิเศษสุด และฉันรักคุณ” แต่พูดแค่นั้นยังไม่พอ ในวันเวลาที่พวกคุณแรกรักกัน คงจะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่คุณทั้งคู่ชื่นชมในกันและกัน เช่น อารมณ์ขันแบบร้าย ๆ ของเขา หรือการต้อนรับขับสู้แขกที่นุ่มนวลสไตล์เขา คนที่อยู่ด้วยกันมานาน ๆ จะพูดเรื่องพวกนี้น้อยลง ให้ลองคิดดูว่าคุณวิพากษ์วิจารณ์เขาไว้อย่างไร “ทำไมใส่น้ำในหม้อพาสต้ามากไป” หรือ “ทำไมคุณต้องซื้อกล้วยมาห้าลูกในเมื่อฉันบอกว่าสองลูกก็พอแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวก็เน่า” ขอให้คุณอย่าลืมชมเขาอย่างเฉพาะเจาะจงด้วยเช่นกัน
8) หยุดแก้ตัวในสิ่งที่ไม่จำเป็น
ข้ออ้างการดื่มจัดของคุณฟังไม่ขึ้น เช่น คุณอ้างว่าดื่มมากเพราะมีแขกในงานแต่งงานเยอะแยะไปหมด นั่นเป็นข้อแก้ตัวที่แย่ เพราะนิสัยเสีย ๆ ก็คือนิสัยเสีย ๆ ขออย่าให้คุณใช้อย่างอื่นเป็นข้ออ้างในการทำในสิ่งที่เขาไม่ยอมรับ
9) ลองคิดว่ามีคนมาเยี่ยมบ้าน
เราทุกคนสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเราเองได้มากกว่าเราคิด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีแขกคนสำคัญที่บ้าน นอนห้องนอนข้าง ๆ คุณ คุณสองคนก็คงจะไม่ทะเลาะส่งเสียงกันใช่ไหม คุณสองคนคงจะปฏิบัติต่อกันอย่างนุ่มนวลและสุภาพต่อหน้าแขก ดังนั้น เมื่อคุณนึกจะกรี๊ดใส่เขาครั้งต่อไป ให้ลองวาดภาพว่ามีแขกนอนพักอยู่ในห้องรับแขก คุณจะได้ใจเย็นลง
ดูว่าเขาชอบอะไร แล้วก็ทำสิ่งนั้นด้วยหัวใจให้เขา ในเดี๋ยวนั้น
10) ไม่ต้องฟังผู้เชี่ยวชาญเสมอไป
เป็นที่น่าประหลาดใจว่าคนจำนวนมากยอมเสียเงินไปปรึกษาปัญหาแต่งงานกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น ถ้าเรารู้ว่ามีแค่สามสิ่งเท่านั้นที่ทำให้คู่ของเรามีความสุขขึ้นได้ นั่นคือ เก็บขยะหมักหมมในรถไปทิ้งเสีย ยั่วยวนเขาก่อนที่เด็ก ๆ จะตื่นนอน รีดเสื้อยืดให้เขา หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขาพอใจ มาดามลองตรองดูว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร แล้วก็ทำสิ่งนั้นด้วยหัวใจให้เขา ในเดี๋ยวนั้น เท่านั้นเอง
จาก oprah