ซีรี่ย์กรุ่นไอสงครามกลางเมือง
เรื่องและภาพ โดย Pokhansa


วันขาลงของมาดามสหประชาชาติ


ว้า วันนี้สุขภาพขาลงอีกแล้ว ปวดหัวแบบไมเกรนคุกคาม และรู้สึกขยักขย่อนในท้องเหมือนอาหารจะผิดสำแดง โถ ร่างกายจ๋า อะไรจะเซ็นซิทีฟขนาดนั้น
ตื่นเช้า พอใช้ได้ ประมาณตีห้า ลุกมาดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ แล้วมานั่งขีดเขียนเรื่องเลบานอน เรื่องสุขภาพอย่างสนุกสนาน ระหว่างนั้นก็เฝ้ามองพระอาทิตย์แต่งแต้มขอบฟ้า วันนี้อาทิตย์ยามเช้าสว่าง กลม สวยเป็นพิเศษ

ไปชงกาแฟโสมหนึ่งเหยือก จิบไป เขียนงานไป เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

เจ็ดโมงนิดหน่อย ไปคั้นน้ำส้ม เอาไปเสิรฟคุณผู้ชายถึงที่นอน ท่านช่างผาสุขอะไรขนาดนั้น คุยกันกระหนุงกระหนิงนิดหน่อย ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ มีห้องน้ำสองห้อง ต่างคนต่างใช้

เสร็จแล้วมาดามมาเตรียมอาหารเช้าแบบเดิม ๆ แต่ว่าเปลี่ยนชนิดของผลไม้เสียบ้าง เช้านี้มีลูกแพร์จากเม็กซิโก สตรอเบอร์รี่พื้นเมือง และกล้วยจากโซมาลี หรือเอกัวดอร์ก็จำไม่ได้แล้ว ราดด้วยโยเกิร์ตเลบานีส นั่งกินกันไป หยอกเย้ากันไป ชีวิตมันก็ไม่เลวนัก มีหัวเราะบ้าง มีกัดกันบ้าง

เช้าวันนี้เราไปทำผมด้วยกันทั้งคู่ โยคิมไปตัดผมร้านผู้ชาย ฉันก็ไปร้านประจำ ผมเหนียว ไม่เป็นทรงแล้ว ช่างผมประจำตัว นายอาเหม็ด อยู่พอดี และสาวอาบีร์ที่ทำเล็บและสระผมให้มาดามเกือบทุกครั้ง

อาเหม็ดแสดงสุดฝีมือ สังเกตว่า เขาเป่าผมไม่เหมือนช่างคนอื่น คือเขาจะใช้ไฟกลาง เป่าทั่วศีรษะจนเกือบแห้ง จึงเริ่มทำทรง ปกติ ช่างที่ฉันเจอจะเป่าจากผมเปียก ๆ ทีละปอยสองปอย จากข้างในไปข้างนอก ซึ่งทำให้ผมอยู่ตัวเป็นระเบียบ ทิ้งตัวใช้ได้ และดูแลง่ายไปหลายวัน แต่จะดูไม่น่าตื่นเต้น

คราวนี้ อาเหม็ดออกแบบให้ใหม่ ใช้สเปรย์ไปสักครึ่งหลอดกระมัง ทำออกมาแล้ว ผมออก มาเป็นทรงแบบกระเจิง ๆ เหมือนรังนก หรือเพิ่งตื่นนอนแล้วลืมหวีผม ฉันอารมณ์ดี เอาเหอะ เปลี่ยนซะบ้าง ก็ดีเหมือนกัน ทำทีไหน ไม่เหมือนกันสักที

ร้านเขาเปิดประมาณเก้าโมง ฉันไปถึงเก้าโมงพอดี ๆ ตอนที่ช่างกำลังเป่าผม หนุ่มหน้าใส ซีอาด ฝ่ายต้อนรับของร้าน ก็เพิ่งมาถึง แล้วยังทักฉันว่า ทำไมยูมาเช้าจังเลย ฉันก็เลยเย้าไปว่า เก้าโมงไม่เช้าแล้วนะ ไอตื่นตั้งแต่ตีห้า (สงสัยหนุ่มน้อยจะปาร์ตี้จนดึก หน้าตายังง่วง ๆ อยู่)

จ่ายเงินแล้วก็เดินหัวยุ่ง ๆ กลับไปที่ทำงาน ต้องเดินขึ้นเนิน อ้าว แวะไปสายการบิน MEA หน่อย ไปจองที่นั่ง ซื้อตั๋วมาแล้ว แต่ไม่ได้ระบุ

ยังไปไม่ถึงที่ทำงานดี สามีโทรเข้ามือถือ บอกว่า ช่วยไปรับใบสั่งยาของหมอที่อยู่ระหว่างทางด้วยได้ไหม มีหรือจะไม่ได้สำหรับมาดามสารพัดนึก ฉันก็เลยเลี้ยวไปทางคลีนิคหมอ แทนที่จะไปทางร้านผลไม้ที่หมายตาไว้ โห เช้านี้ร้อนจริง ๆ ผมที่เพิ่งทำมา เริ่มเหงื่อซึม มันอ้าว ๆ ยังไงชอบกล ไปถึงร้านหมอ คนรับแขกก็หน้าไม่ค่อยเบย สงสัยจะร้อน มีคนมารอหมอสัก 6-7 คน เต็มห้องนั่งรอ ก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยปวดหัวอยู่ ฉันรอสัก 2-3 นาทีก็ได้ใบสั่งที่ต้องการ จึงนวยนาดกลับที่ทำงาน

อะไรมันช่างจะสะดวกขนาดนั้น ทุกอย่างไปถึงด้วยสองขาสั้น ๆ ของฉันนี่เอง แถมต้องการอะไร โทรไปขอ เดี๋ยวก็ได้

ระหว่างทาง พอเดินระหว่างช่วงตึกที่วางตำแหน่งถูก จะมีกระแสลมเย็นโชยชื่น ค่อยคลายความร้อนไปหน่อย

เข้าที่ทำงานเกือบสิบโมง ยุ่งกับการดูเรื่องตั๋วเครื่องบิน ต่อไฟล์ที่จะไปทำงานที่เจนีวาในเดือนกรกฎา-สิงหาคม หมดเวลาไปเกือบทั้งเช้าเพราะเลือกไม่ได้เสียที วันเดินทางสรุปไม่ลง ต้องประสานกับคุณสามีอีก เพราะเราตั้งใจจะไปต่อคุกซ์ฮาเฟ่นหลังจากฉันเสร็จงาน เนื่องจากที่เบรุตจะเป็นวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ ฉันจะบินไปทำงานที่เจนีวาก่อน แล้วไปเจอสามีที่ฮัมบูร์ก ก่อนไปคุกซ์ด้วยกัน

สองสาวเพื่อนร่วมงานข้างห้องมาขอบคุณสำหรับดอกไม้ สาวคนหนึ่ง ชื่อ ราช่า จะย้ายไปทำงานที่เจนีวา ฉันก็แสดงความดีใจกับเขาด้วย ตอนบ่าย เขาชวนฉันไปกินเค้กชอคโกแล็ต จากที่ร้อยวันพันปีไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรด้วยกัน อืมม์ ซาน่าเป็นคนอบ อร่อยจริง ๆ เนื้อเบา นุ่ม ชุ่มฉ่ำ เป็นช็อคฯดีจริง ๆ เฮ้อ แคลอรี่อีกแร้ว

ดอกไม้เป็นประตูเปิดทางและเปิดหัวใจที่ดีจริง ๆ

ตอนเที่ยงวิ่งกลับไปกินข้าวบ้าน ฉันต้มพาสต้า เอาไพน์นัทมาปั่นกับใบเบซิลที่ซื้อมาหอบใหญ่ น้ำมันมะกอก พาร์เมซาน อร่อยดี แต่ทำปริมาณมากไปหน่อย กินเสร็จแล้วอึดอัดท้อง ไป ๆ มา ๆ รู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย แล้วก็ง่วงอย่างแรง เกิดสงสัยว่า นี่เราแพ้อะไรในอาหารหรือเปล่า

พร้อมกับอาการคลื่นไส้ หัวก็ปวดขึ้นมาด้วย หลัง-ต้นคอที่สบายอยู่หลายวันก็เกิดแข็งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เหมือนท่านสุนทรภู่ว่าไว้ “ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” ที่จริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่เพิ่งเห็นว่า ความเจ็บป่วยนี่มันพัวพันกันจริง ๆ หรือว่าที่เราปวดหัวบ่อย ๆ หลังแข็งบ่อย ๆ เป็นเพราะอาหารบางอย่างที่เรากินหรือเปล่า

กลับไปทำงานแบบไม่เต็มร้อย ความแจ่มใสที่ได้มาหลายวันเริ่มหดไปนิดหน่อย แข็งใจทำงานจนเย็น เก็บงานได้อีกหลายชิ้น เจ้านายที่เจนีวาสไกป์มาขอข้อมูลด่วนชิ้นหนึ่ง ฉันรีบผลิตให้ ส่งไปแล้ว สักทุ่มหนึ่งก็พากันกลับบ้าน

ตอนเย็นกินอะไรไม่ลง ยังคลื่นไส้อยู่ ก็เลยทำสลัดผักง่าย ๆ เอาแฮมรมน้ำผึ้งของซาร่าห์ลีมาโปะหน่อย เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ได้กินโปรตีนมากพอ อร่อยดี แล้วความขยักขย้อนท้องก็ยังมีอยู่

ระหว่างนั้นก็เอาไก่หนึ่งตัวกลาง ๆ ที่ซื้อเอาไว้มาต้มกับมันฝรั่ง แครอท หอมใหญ่ และขิงนิดหน่อย จะได้เอาไว้กินน้ำซุป กับมีเนื้อไก่พร้อมรับประทานสำหรับมื้อต่อ ๆ ไปที่จะมากินข้าวบ้านตอนกลางวัน งานแม่บ้านนี่ต้องคิดล่วงหน้าจริง ๆ

ตอนค่ำ สรุปเรื่องตั๋วเครื่องบินได้เรียบร้อย จองไว้ทางเน็ต และต้องคอนเฟิร์มในสองวัน คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหา เหลือแต่ต้องส่งตารางเวลาการเดินทางไปให้สำนักงานใหญ่ เพื่อให้มาเรียดำเนินเรื่องขออนุมัติการเดินทางเป็นขั้นเป็นตอนไป คงคล้าย ๆ ข้าราชการจะไปไหนต่อไปนอกพื้นที่หรือนอกประเทศ

อ้อ การเดินทางของคนทำงานยูเอ็นนี่ ต้องมีขอเคลียร์เรื่องความปลอดภัยด้วยนะ โดยเฉพาะถ้าเราอยู่ประเทศที่ล่อแหลมอย่างภาคตะวันออกกลาง จะเข้าออกประเทศตามใจไม่ได้ ฉันต้องทำเรื่องขอไปทางอินเตอร์เน็ตเมื่อวาน ตอนสาย ๆ ของวันนี้ก็ได้รับว่า อนุมัติ เหตุที่เขาต้องทำเช่นนี้่ก็คงเพราะว่า หากเกิดเหตุจราจลขึ้นมาให้ประเทศที่เราไปทำงาน เขาก็จะได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน และตรวจเช็คความปลอดภัยของเราได้ หรือหากเบรุตเกิดลุกเป็นไฟขึ้นมาก่อนเรากลับ เขาก็จะได้แจ้งไม่ให้เรากลับมา (แต่ตอนนั้นเราคงรู้จากข่าวหนังสือพิมพ์แล้วหล่ะ)

ชีวิตที่ต้องคอยระมัดระวังเรื่องเส้นทาง-ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพยสิน ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้น ก็งานนี้แหละ

สามทุ่มกว่า ๆ ก็เดี้ยงแล้ว จึงผันผายเข้านอนแบบไก่หงอย หัวยังปวด ท้องยังคลื่นไส้ แต่ไม่กินยาอะไรละ ให้การนอนช่วยเยียวยาให้ร่างกายดีกว่า

นอนหลับสนิท ตื่นมาสักตีหนึ่ง พลิกไปพลิกมา คิดถึงไก่ต้ม อยากกินชะมัด ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำสะอาดให้ร่างกายชุ่มฉ่ำ แต่สรุปว่า ไม่กินไก่เหมือนเป็นกระสือละ แต่เอาแตงโมที่ผ่าเข้าตู้ไว้มากินให้ฉ่ำใจดีกว่า ได้แตงโมไป 4-5 ชิ้นเล็ก ๆ สบายท้อง กลับไปนอนต่อ รู้สึกว่าอาการปวดหัว คลื่นไส้เบาลงแล้ว

ข้อสรุปของวันนี้คือ กินอยู่ให้ประมาณ สังขารอย่าละเลย

มาดามเอง

เขียนไว้ที่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012