ซีรีย์กรุ่นไอสงครามกลางเมือง
Photo Credit Orlova Maria
โดย Pokhansa

วันๆหนึ่งของมาดามสหประชาชาติ


เช้านี้ตื่นมาด้วยความคิดที่ว่า สัญญาณแห่งสุขภาพที่ดีคืออะไร ถ้าจะตรวจวัดด้วยคะแนนเต็มสิบ ฉันควรจะได้อยู่ตรงไหน

  • อย่างที่หนึ่ง นอนหลับสบายและเต็มอิ่ม ตื่นมาโดยที่หัวไม่ตื้อ ไม่มึนงง ไม่ง่วงเหงา – อันนี้ได้คะแนน 7 สำหรับวันนี้
  • อย่างที่สอง รู้สึกดีกับตัวเอง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ (โห ตัวชี้วัดโหดมากเลย) – อันนี้คิดว่าเช้านี้ได้คะแนน 9.5
  • อย่างต่อไป รู้สึกรื่นรมย์กับชีวิต โลกเป็นสีชมพูปนฟ้าหน่อย ๆ – คะแนนที่ได้คือ 8
  • อย่างถัดไป รู้สึกอยากขีดเขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้โลกรู้ – วันนี้ได้คะแนนเต็ม (เมื่อวาน และวันก่อนด้วย)
  • อย่างที่ห้า จับทำสิ่งละอันพันละน้อย จัดระเบียบ ด้วยความสนุก ความเพลิดเพลิน – น่าจะได้คะแนน 7 ถึง 8
  • อย่างที่หก ทำกับข้าวสนุก จับโน่นผสมนี่อย่างสร้างสรรค์ กินอร่อยแต่กินประมาณ – ภูมิใจน่าจะได้คะแนนเต็ม
  • อย่างที่เจ็ด มีอารมณ์ขัน ปฏิภาณว่องไวในเรื่องโจ๊ก ๆ – คะแนน 8 ถึง 9 แล้วจ้า
  • อย่างที่แปด อ่านหนังสือด้วยความสงบ มีสมาธิ – พัฒนาคะแนนจากติดลบมานานแล้วมาเป็น 6 ถึง 7
  • อย่างที่เก้า ออกกำลังกายได้สม่ำเสมอ – แหะ แหะ อันนี้ได้คะแนนน้อยกว่าครึ่ง สิ่งเดียวที่ขยันคือ ทำงานบ้าน กับเดินชอปปิ้ง
  • อย่างที่สิบ มีความสบายใจกับคนที่รัก พูดจาประสาคู่ชีวิตอย่างอบอุ่นสามัคคี ไม่จบด้วยการทะเลาะ – สองสามวันนี้คะแนนขึ้นกระฉูด
  • อย่างถัดไป รู้สึกอยากติดต่อเพื่อนฝูงที่ห่างหายไป อยากตอบจดหมายที่ไม่เคยตอบเสียที – สงสัยอันนี้น่าจะได้คะแนนเกินสิบ เพราะมีอาการค่อนข้างเว่อร์
  • อย่างสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด คือ ทำงานด้วยความสุข และรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่หักโหมตัวเอง – คะแนนขึ้นมาถึง 5 แล้วค่ะกองเชียร์ทั้งหลาย (ยังต้องพัฒนาต่อไป)


ตัวชี้วัดอื่น ๆ คงมีมากมาย แต่มันไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกโดยรวมว่า ฉันเริ่มมีสุขภาพที่ดีขึ้น
มือที่เป็นผังผึดและเจ็บเวลาพิมพ์งานนาน ๆ ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บแล้ว
หลังที่ปวดตึงยังเป็นอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าเครียดกับงานนาน ๆ แต่ผกผันกับมวลความรู้สึกสุข ยิ่งสุขกายสบายใจเท่าไร ความปวดยิ่งลดลงเท่านั้น
อาการกินแบบสวาปาม ยั้งใจไม่อยู่ รวมทั้งอาหารต้องห้ามทั้งหลาย (หวาน มัน เค็ม ทอด) เริ่มหายไปนับจากที่ป่วยนอนซมอยู่หนึ่งอาทิตย์ เหมือนเป็นการล้างพิษไปในตัว เริ่มกินอาหารอย่างระมัดระวัง ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
จากที่ชอบทำงานลุยโดยไม่ดูเวร่ำเวลาหรือความเหน็ดเหนื่อยของร่างกายจิตใจ ก็เริ่มยั้งคิด จัดปริมาณให้เหมาะสมกับความสามารถทางกายและทางใจได้ดีขึ้น
ตอนเช้าจะเปิดคอมฯทำงานไปก่อนพอสมควร ยิ่งรู้ว่าคุณผู้ชายจะไปสาย ก็จะทำงานรอ ยังไงก็อดที่จะขยันเรื่องงานไม่ได้เหมือนเดิม
ตอนกลางวันกลับมากินข้าวบ้าน ถ้าทำได้ ทำอาหารทิ้งไว้วันก่อน เอามาอุ่นไมโครเวฟ ทานกันสองคนสงบดี ดีว่าสั่งเกบับมานั่งกินหน้าจอที่ออฟฟิซ หรือไปกินที่ร้านให้เสียตังค์
ทานข้าวเสร็จ คุณผู้ชายไปงีบ คุณผู้หญิงเปิดเมล์เรื่องงาน และค่อย ๆ ทำไป ถึงจะกลับออฟฟิซช้า แต่งานไม่เสีย
อาหารการกินที่เคยเป็นเนื้อสัตว์มาก เพราะคิดว่าโปรตีนจะช่วยลดน้ำหนัก ก็น้อยลง เป็นโปรตีนจากไก่ ปลา ชีส ถั่ว โยเกิร์ตเป็นหลัก กาแฟก็น้อยลง และจำกัดจำนวนแก้ว ไปเพิ่มที่ชาเขียว (ไม่จำกัด) ชาดำ (จำกัด) ตอนนี้ตั้งใจจะไม่กินเนื้อหมู-เนื้อวัว-เนื้อแกะ-เนื้อลูกวัวไปสักระยะ หรือเท่าที่จะเลี่ยงได้ ไม่อยากตั้งเป้าว่าจะตัดขาด เพราะจะเครียดเสียเปล่า ๆ
อาหารการกินตอนนี้มีผลไม้ โยเกิร์ต ผักค่อนข้างมาก ผลไม้เต็มบ้าน หลากชนิด ผักสด ๆ เต็มตู้เย็น พร้อมเอามาผัดกับกุ้งหรือเต้าหู้ ข้าวซ้อมมือไม่ให้ขาด ของทอดยังกินอยู่ ถ้าเห็นมันฝรั่งทอดน่ากิน ก็ขอสักสองสามชิ้นให้หายอยาก ส่วนปลาสด ๆ ของโปรดก็ซื้อมาย่างเอง แทนที่จะให้เขาทอดให้
ฉันเพิ่งรู้สึกว่า พอเรากินไม่ดี ร่างกายก็หงุดหงิด และอยากกินแบบนัั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราเริ่มกินดี กินเป็น ร่างกายก็ชอบใจและขอบใจเรา และมอบจิตใจที่สบายคืนมาให้เป็นรางวัล
กิจวัตรประจำวัน
ส่วนใหญ่ฉันจะลุกก่อนคุณสามี ประมาณตีห้ากว่า ๆ ร่างกายมันอยากจะลุก ไม่ว่าจะรู้สึกซึมเซาหรือตื่นเต็มตัว ลุกมาดื่มน้ำสองแก้วเพื่อสุขภาพ เปิดคอมฯ เช็คเมล์ นิดหน่อย ไอ้ที่เคยไปเดินออกกำลังกายก็เลิกทำตั้งแต่ป่วย (ข้ออ้างดีมั่กมั่ก) บางทีก็หยิบหนังสือที่กำลังติดใจมาอ่านสักบทสองบท

แล้วก็เข้าครัวก็จัดถาดอาหารเช้าไว้พร้อม กาแฟ น้ำตาลเทียม ชุดกาแฟ จานชาม กระปุกมูสลี่ ชามมูสลี่ของคุณสามี จานผลไม้โยเกิร์ตของคุณภรรเมีย วิตามินและยาหลากชนิด (จนคุณสามีล้อว่า กินแค่วิตามินก็อิ่มแล้ว) ส่วนนมสด โยเกิร์ต จะเอาออกจากตู้เย็นใกล้เวลากิน และน้ำร้อนจะเอาใส่กาตอนพร้อม
ไปเล่นคอมฯ หาอะไรอ่าน หรือทำงานนิดหน่อย พอได้เวลา คาดว่าคุณสามีน่าจะตื่นแล้ว ก็ไปคั้นน้ำส้มสด ๆ ด้วยเครื่องคั้น (ต้องขอชมแล้วชมอีกว่า ที่นี่ส้มอร่อยมาก ลูกใหญ่ น้ำเยอะ เป็นส้มปลูกบนดินเลบานอน ไม่ได้นำเข้า ดูเหมือนจะมีให้กินตลอดปี แต่มีช่วงหนึ่งเหมือนกันที่ส้มอร่อยน้อยลง คงเป็นไปตามฤดูกาล คุณสามีโดยปกติชอบน้ำเกรปฟรุต) คั้นใส่แก้วสีสวย เอาไปเสิรฟให้ท่านถึงที่นอน (ยอดศรีภรรยาใช่ไหม) ท่านก็บิดขี้เกียจนิดหน่อย เหมือนแมวตื่นนอน แล้วเราสองคนก็ดื่มน้ำส้มยามเช้ากันอย่างสบายใจ ถ้าจะว่าไปก็อาจจะเป็นกิจวัตรที่น่ารัก ได้ดื่มน้ำส้มอร่อย ๆ ได้พูดคุยอ่อนหวานฉันท์สามีภรรยา เป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่เลว (ถ้าไม่ทะเลาะกันตอนสายเสียอีก)
จากนั้น ต่างคนก็ต่างอาบน้ำแต่งตัว ฉันมักจะเสร็จก่อน ถ้าไม่ต้องสระผม เป่าผม เสร็จแล้วก็ไปจัดโต๊ะอาหารเช้า เอาพวกของเย็นออกมาจากตู้ เช่น นม โยเกิร์ต หั่นผลไม้ตอนสุดท้าย กรอกน้ำร้อนใส่กา จัดวาง รอคุณท่านมารับประทาน
ถ้าคุณท่านช้านัก ฉันก็นั่งเล่นเน็ตหรือทำงานต่อ รอจนพร้อมอาหารเช้าด้วยกัน พอทานเสร็จ คุณท่านก็จะเป็นฝ่ายเก็บโต๊ะ คุณเมียก็เอาของเข้าเครื่องล้างจานและเก็บคืนที่ เปิดเครื่องล้างจาน ให้แม่บ้านมาเอาออกตอนบ่าย
เราไปทำงานในรถคันเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะที่จอดรถจำกัด บางครั้งฉันอารมณ์ดี หรือมีธุระไม่เหมือนกันก็จะเดินไปทำงานหรือเดินกลับบ้าน ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว เส้นทางเดินก็ไม่ได้ยากลำบากอะไร
ชีวิตเราต้องถือว่า สะดวก ที่ทำงานอยู่ใกล้บ้านเดินแค่ 15 นาทีถึง ใกล้ที่ทำงานมีร้านอาหาร มีโรงพยาบาล มีคลีนิคต่าง ๆ มีร้านขายยา ร้านขายรองเท้า โรงเรียนศาสนา ร้านขายกะบับอร่อย ร้านเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ร้านขายของแต่งบ้าน โรงแรมหรู ร้านขายดอกไม้สองสามแห่ง ร้านขายผักผลไม้ ร้านขายของเชาห่วย ร้านทำผม ลานจอดรถ ธนาคาร สวนสาธารณะ ไปรษณีย์ ร้านซูชิ ทำเนียบประธานาธิบดีเก่า (คนที่ถูกระเบิดริมทะเลเมื่อหลายปีก่อน) มีร่มไม้ ชายคา พุ่มดอกเฟื่องฟ้าตระการตา มีต้นสายน้ำผึ้งแต่งแต้ม มีต้นโอลีฟเตือนให้รู้ว่านี่คือถิ่นเมดิเตอเรเนียน
เวลาฉันมีนัดหมายหมอฟัน หมอประจำตัว นัดตรวจเลือด นัดกายภาพบำบัด ก็แค่เดินจากที่ทำงานไปสองสามนาที อยากซื้อยาก็แค่สองช่วงตึก อะไรจะสะดวกปานนั้น
หากวันไหนเดินกลับบ้าน ก็จะผ่านร้านเชาห่วย ขายของสารพัด ประมาณร้านสารพัดนึกในเมืองไทยที่ถูกกลืนหายไปเพราะร้าน 7-11 ฉันชอบเดินผ่านร้านนี้ เพราะอาจจะเจอของดี ๆ ที่ใช้ได้ในราคาประหยัด แต่ก็ไม่ได้ซื้อเสียที จากนั้นจะผ่านแกลลอรี่สองสามแห่ง มีภาพวาดบ้าง มีงานทำมือบ้าง น่าสนใจดี นั่น ตรงหัวมุมมีร้านผลไม้สด ๆ ดูน่ากิน แต่อย่าซื้อเลย ขี้เกียจถือหนัก ๆ กลับบ้าน ถัดจากร้านผลไม้ เป็นร้านไอศครีมเปิดใหม่ พร้อมของหวานแบบไฉไลทั้งของเลบานีสและของฝรั่ง และขนมปังน่ากิน ร้านนี้เคยเข้าไปซื้อไอศรีมและขนมสองครั้ง อืมม์ อร่อยจริง แต่หวานไปหน่อย
ใกล้กับร้านไอศครีมเป็นร้านชุดน้ำชากาแฟแบบแขกอาหรับ แก้วสีขุ่นหรือสีใส ลงลวดลายทอง-เงินอลังการ เห็นแล้วรู้ว่าคงไม่ได้ใช้ เพราะชีวิตเราไม่ได้เป็นประกายขนาดนั้น ติดกับร้านขายชุดน้ำชา เป็นร้านดอกไม้ใหญ่ คูหายาว มีทางเข้าสองด้าน ดอกไม้เขาสวยน่าสนใจมาก ฉันเคยได้รับดอกไม้จากร้านนี้ที่เพื่อนสาวเยอรมันส่งมาให้ เพราะฉันช่วยเขาไปรับเสื้อผ้าซักแห้งที่ร้านเดียวกัน (ไม่จำเป็นเลย แต่เขาต้องการแสดงความขอบคุณ) ฉันเคยเข้าไปซื้อเองสองครั้ง ครั้งแรกเขาลดราคาให้พอสมควร แต่ครั้งที่สองไม่ค่อยประทับใจเท่าไร เพราะฉันคิดว่า เขาแนะนำดอกไม้ที่เก่าแล้วให้เรา ก็เลยไม่ได้ไปอีก (รวมทั้งไปเจอร้านที่ถูกกว่านี้ด้วย)
บอกหรือยังว่า อพาร์ตเม้นท์ของเราอยู่ติดร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ดีว่าฉันไม่ใช่สาวกกาแฟยี่ห้อนี้ แต่เราก็เข้าไปสองสามครั้งเวลาขี้เกียจทำอาหารเช้าเอง หรือนึกอยากกาแฟหอม ๆ พร้อมครัวซองต์ บรรยากาศก็แบบสตาร์บัคส์ มีที่นั่งด้านในเย็น ๆ หรือนั่งด้านนอกรับลม-ชมทะเล แต่ว่าตรงหน้าที่นั่งเหล่านั้น มีรถยนต์จอดแน่นขนัด ถึงจะเห็นทะเลแต่ก็เห็นรถยนต์ทั้งแผง จึงไม่ค่อยโรแมนติคเท่าที่น่าจะเป็น
อ้าว ว่าเสียเยิ่นเย้อ กลับมาวันจันทร์ก่อน
ไม่เกินเจ็ดโมง เราก็กินข้าวเช้าเสร็จ ฉันดื่มกาแฟโสมสำเร็จรูปด้วยความสุข และทานผลไม้โยเกิร์ตด้วยความอิ่มเอม หยอกเย้ากับสามีนิดหน่อย แล้วพวกเราก็รีบไปทำงานกัน บังเอิญสามีมีกางเกงที่อยากจะซักแห้งก่อนไปเยอรมนี ฉันเห็นว่าเพิ่งเจ็ดโมงครึ่ง ก็เลยไปส่งเขาที่ทำงานก่อน แล้วก็ไปร้านซักแห้งที่อยู่ห่างไปสัก 2-3 กิโล ร้านเขาเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า (เคยเห็นในสวิตฯบ้างไหม) ฉันทำธุระเสร็จภายใน 10 นาทีหลังจากที่ส่งสามี ก็เลยถือโอกาสแวะซุปเปอร์เล็ก ๆ ใกล้ร้านซักแห้ง ฉันชอบที่นี่ เหมือนคอนเซปท์ร้านคนจีนเก่า ๆ ที่มีของทุกอย่างอัดแน่นในร้าน หรือเหมือนร้านวิลลามาร์เก็ตที่กรุงเทพ การที่ร้านไม่ใหญ่ ทำให้หาของง่าย แถมบางครั้งยังมีของให้เลือกมากกว่าห้างใหญ่ ๆ เสียอีก ฉันรัก “ร้านค้าข้างบ้าน” นี่จังเลย มันมีเสน่ห์ที่ซุปเปอร์ฯใหญ่ ๆ สู้ไม่ได้
เหตุที่ฉันแวะที่นี่ ก็เพราะของสองอย่าง อย่างแรกคือ ใบเบซิลอิตาเลียน ซึ่งเขามีขายก้านใหญ่ ๆ อวบ ๆ พร้อมราก ที่อื่นไม่เห็นมีขาย ฉันเอาไปแช่น้ำในแจกัน หรือโถเอาไว้ เก็บไว้กินได้เป็นเดือน (ของเก่าอยู่ได้สองเดือน) ไม่ต้องใส่ดินด้วยซ้ำ ก้านแข็ง ไม่ปวกเปียก-ใจเสาะแบบเบซิลเจนีวา และกลิ่นหอมจรุงใจ ราคานั่นหรือ สองต้นเบ้อเริ่มแค่ 2 ฟรังก์หรือ 2 ดอลล์เท่านั้นเอง ในสวิตฯต้นเล็ก ๆ ใบจิ๋ว ๆ ก็ 4 ฟรังก์เข้าไปแล้ว หรือเฉพาะใบในกล่องใส นับได้สัก 20 ใบก็ว่าเข้าเกือบสามฟรังก์นั่น แล้วอย่างนี้แม่บ้านป๊อกจะไม่เครซี่ผักที่นี่ได้อย่างไร
วิ่งเข้าร้าน เห็นเบซิลเป็นกะบะ เลือกมาได้สองต้น โห ใบมากมาย สุขใจเจง ๆ แล้วตรงแคชเชียร์จะมีพวกนัทขาย ฉันหมายถึง Pine Nuts (เม็ดถั่วจากลูกสน) ไว้แล้ว เอาไปคั่วโรยสลัด โรยพาสต้า หรือเอาไปปั่นกับใบเบซิล น้ำมันมะกอก กระเทียม พาร์เมซานชีสก็อร่อยที่สุด ของทั้งสองอย่าง รวมสามชิ้น เสียเงินไป 17 ดอลล์ (ไพน์นัทราคาแพงที่สุด)
มาดามจอดรถซ้อนคันหน้าร้าน ซึ่งที่นี่เป็นเรื่องปกติ ได้ของ จ่ายเงิน ก็กระโดดขึ้นรถ ผ่านร้านดอกไม้ วิ่งลงไปซื้อกุหลาบหลากสี 12 ดอก หมดไปอีก 17 ดอลล์ ไปถึงที่ทำงานยังไม่ทัน 8 โมงดีเลย ชีวิตช่างผาสุขเสียจริง ๆ ไม่ใช่ว่า เบรุตจะรถไม่ติด เพียงแต่จังหวะเราดีเท่านั้นเอง
จัดดอกไม้ เอาไปแจกจ่ายเพื่อนร่วมงานสตรี เหลือไว้ดูเล่นสองดอก สุขใจที่ได้สร้างความสุขเล็ก ๆ ให้กับคนอื่น ด้วยราคาที่ไม่แพงเลย สามีขำกับ “ปฏิบัติการผูกมัดใจ” ของมาดาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฉันไม่ได้หวังผลอะไรจากพวกเขา แค่ฉันมีความสุขที่ได้ให้ก็ดียิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว การไปคาดหวังความขอบใจจากคนอื่น มันเป็นสิ่งที่หนักที่จะแบกเปล่า ๆ
เช้านี้ทำงานด้วยความเพลิดเพลินและประสิทธิภาพสูงสุดในหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างดูสนุกสนาน น่าตื่นเต้น ความคิดสร้างสรรค์เล่นปรู๊ดปร๊าด สนุกกับการโต้ตอบอีเมล์เรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
หลังเที่ยงนิดหน่อย พวกเราขับรถกลับบ้าน ฉันรีบเอาราวิโอลีไส้ลอบสเตอร์มาต้ม ทำน้ำซอสรสมะเขือเทศอย่างรวดเร็ว กอบใบเบซิลที่ซื้อมาใหม่เอามาหั่นสิบกว่าใบ ใส่ไปตอนสุดท้าย ประมาณสิบนาที พาสต้าก็สุก ซอสก็พร้อม ตักพาสต้าใส่จานมีก้น ราดน้ำซอส เอาพาร์เมซานขูดราด ดูน่ากิน แถมยัง อืมม์ อร่อยและไม่หนักท้อง หลังอาหารกลางวัน คุณสามีไปเซียสต้า มาดามนั่งทำงานต่อที่บ้าน ตื่นแล้ว พวกเรากินแตงโมเป็นของหวาน ให้เหมาะกับอากาศร้อนอบอ้าว แล้วก็วิ่งกลับไปทำงานต่อ
ช่วงบ่ายก็ยังสุขใจเหมือนเดิม กลับไปทำงานเกือบบ่ายสามโมง แต่ไม่รู้สึกผิด เพราะเรากวาดงานทำตั้งแต่อยู่บ้านแล้ว พอได้เวลาสี่โมงกวา ๆ แม้จะกำลังทำงานเพลิน ก็ต้องคว้ากระเป๋า กับกุหลาบงามดอกหนึ่ง เดินนวยนาดไปโรงพยาบาลตราด (ชื่อเลบานีสแต่คล้องชื่อไทย) ไปทำกายภาพบำบัด เพิ่งสังเกตว่า อาการของเราดีขึ้นอย่างมากมาย ทั้งมือและหลังแทบไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แต่ต้นคอยังตึงอยู่เหมือนเดิม นักกายภาพเป็นสาวสวย หุ่นเซ็กซี่ ผมดัดขอดยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ฉันไปรับบริการครั้งที่หกแล้ว (หมอให้ใบสั่งมา 15 ครั้ง) วันนี้ถือโอกาสเอาดอกกุหลาบไปฝากเขาเสียเลย ไหน ๆ ก็ซื้อมาเยอะแยะแล้ว เขาดีใจมาก จุ๊บแก้มเราสามครั้ง เป็นผู้หญิงด้วยกัน เราก็อยากให้กำลังใจซึ่งกันและกันนิ
ยังไม่ได้เล่าเรื่องกายภาพบำบัด เขาเอาไฟฟ้าอ่อน ๆ มาแตะที่หลัง 8 จุด แล้วก็ให้กระแสไฟนวดหลังให้ประมาณ 15 นาที จากนั้น เขาก็มานวดไปตามสันหลัง และคลึงตรงที่เส้นประสาทมันขมวดปมอยู่ ไม่เกิน 30 นาทีก็เรียบร้อย กลับไปทำงานได้ ตอนเดินออกไป หมายเหตุว่าจะไปถ่ายรูปดอกหางนกยูงที่บานสะพรั่งสีจับตาที่โบสถ์ข้างโรง พยาบาล เดินไปถ่ายรูปเสร็จ มีผู้ชายเลบานีสเดินผ่าน แล้วยกหัวแม่มือให้ มาดามผู้เฟรนด์ลี่ก็เลยบอกว่า ดอกไม้มันสวยมากเลยนะ (ไม่รู้จะบอกไปทำไม) เขาก็บอกว่า เห็นด้วย การทักทายฉันท์มิตรบนท้องถนนก็สร้างสีสันให้กับชีวิตเรียบ ๆ ของฉันได้เหมือนกัน
ตอนเดินกลับที่ทำงาน นึกอยากกินอะไร ก็เลยไปแวะร้านของกินเล่น ห้า ห้า ห้า นี่เลย บะหมี่สำเร็จรูปรถผักจากอินโดนีเชีย เอากลับไปที่ทำงานหนึ่งคัพ เติมน้ำร้อน กินเล่นในช่วงบ่ายให้สมกับที่ไม่ได้กินมานาน ตอนไปทำบะหมี่ นายอาเบ็ตคนชงกาแฟ มีของหวานอาหรับมาแจก จัดใส่จานเล็ก ๆ ให้มาดาม โห อร่อยมากเลย เลยซัดทั้งบะหมี่และขนมหวาน (ด้วยความรู้สึกผิด แต่สุขที่ลิ้นและอิ่มที่ท้อง) ได้ผลเลย รู้สึกอืดขึ้นมาทันที
ทำงานเพลินจนทุ่มกว่า ๆ สามีโทรมาชวนกลับบ้าน ก็เลยบอกว่า ยังต้องไปลองชุดที่แม็กซ์มาร่ากันก่อนนะ พวกเริ่มทำหน้าบูด บอกว่าหิว เราก็เลยบอกว่า งั้นกลับบ้านเถอะ จะหาอะไรให้กิน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปดูเสื้อ ยูจะได้ไปพักผ่อนด้วย ตกลงพวกใจเย็นลง เราเลยไปที่ย่านการค้านั้น แต่ไปกินข้าวกันก่อน ก็ร้านพอลร้านเดิมนั่นแหละ พอบริกรมาจัดโต๊ะให้ เราก็ประกาศเลยว่าเหมือนเดิม สลัดชีสนมแพะ และคิชชีสนมแพะกับซุกกินี่ และเลมอนเนทมิ้นท์สองแก้วเย็น ๆ
กินเสร็จไปดูเสื้อกางเกง ลองดูแล้วเสื้อขนาดเล็กดูคับแคบไป เขาไม่มีสีแดง เลยเอาสีฟ้ามาให้ ข้างหน้าปักคนละลาย เป็นหญิงงามในราชสำนักจีน เขียนว่า ไชน่าดอลล์ ข้างหนังเป็นลายฟ้า ๆ โยคิมบอกว่า ไม่ชอบข้างหลัง แต่ชอบใจไชน่าดอลล์ มาดามก็คอหด ประกาศว่า ไม่เอานะ ไอไม่อยากใส่เสื้อที่เขียนว่า ไชน่าดอลล์ มันดูคิกขุยังไงไม่รู้ สรุปว่า เราเอาเสื้อตัวขาว-แดง ข้างหน้าปักกว่า Charmer at work คาดว่า เป็นชื่อของช้างที่หน้าตาเหมือนช้างของจิมทอมป์สัน เอาเหอะ คำว่า at work มันก็ดูดีกว่าแล้วกัน ถึงแม้ว่าคำว่าชาร์มเม่อร์จะดูแปลก ๆ แต่ความหมายดีออก (มาดามคิดละเอียดมากเลย) ส่วนกางเกง ลองแล้วคิดว่า ตัวใหญ่ดูดีกว่า ไม่รัดขามากเกินไป ระหว่างสามีจ่ายเงิน (แน่นอนอยู่แล้ว) มาดามก็เดินดูคอลเล็คชั่นใหม่ พรีฟอล pre-Fall สีออกส้ม แดง มีลายดอกบ้าง สีน้ำผึ้งบ้าง ดูหรูหรามีสกุล แต่คาดว่ามาดามคงใส่ไม่ขึ้น กระเป๋าก็ดูดี แต่ใบพันกว่าดอลล์ ไม่เอาละ
กำลังจะออกจากร้านแล้ว คุณสามีนึกอย่างไรไม่ทราบ ถามสาวแซลลี่ว่า ยูมีเดรสที่มีแขน (ปิดต้นแขนเปี่ยมไขมันของมาดาม) บ้างไหม แซลลี่บอกว่า เดี๋ยวจะไปดูให้ แล้วเธอก็นำเสนอชุดผ้าเนื้อนุ่มพริ้ว สีดำสนิท กระชับอวดเอวคอด และผายออกที่กระโปรงเป็นพลีทรอบตัว ด้านนอกเป็นผ้าเบาบางแบบซีทรู และซับในจะสั้นกว่าข้างนอก เพิ่มความน่ารักและเสน่ห์ให้กับชุดเป็นอย่างยิ่ง คอปาดหน่อย ๆ อวดลำคอและช่วงไหล่ครึ่งนึง ทำให้สร้อยไข่มุกดูโดดเด่นเป็นอย่างไร กล่าวง่าย ๆ คือ มาดามใส่แล้วดูดี ผ้ายืดใส่สบาย และอวดเอวที่ยังเล็ก(กว่าพุง)อยู่

พลิกดูราคาแล้ว สามีบอกว่า เธอซื้อเองแล้วกันนะ เธอมีเงินเดือนนี่ ฉันหรือจะหวั่นไหว ได้เลย เพราะอยากซื้ออยู่แล้ว เสื้อผ้าอย่างนี้แม้ของคลาวเดียร์ ไคลด์ที่เมืองไทย ก็คงราคาไม่ถูกกว่ากันสักเท่าไรหรอก แม้ว่าใจจริงจะไม่ชอบสีดำ แต่มันคลาสสิกตลอดกาล บ้าก็บ้าฟะ ก็เลยสั่งจองเขาไว้ เพราะอยากซื้อด้วยเงินสด ไม่ใช้บัตรเครดิต ขี้เกียจตามจ่าย ก็เลยตกลงกันว่า วันพุธมาเอากางเกงที่แก้ไขแล้ว ก็จะมาจ่ายเงินสำหรับชุดนี้พร้อมกันไปเลย เห็นมะ บอกแล้วว่า ถ้าไปรอบสอง ต้องมีได้ชอปเพิ่ม สุขใจเจงเจงอีกแล้ว
กลับบ้าน สบายใจ เปิดเมล์เรื่องงานนิดนึง ทำโน่นทำนี่ เวลาก็เกือบสี่ทุ่มอีกแล้ว จึงเตรียมเข้านอน เล่นเน็ตอีกนิดหน่อย ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็สลบแล้วจ้า
ไดอารีอันยืดยาวเล่าละเอียดก็จบตอนแต่เพียงเท่านี้

เขียนไว้ที่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012