Profile of a woman beside a decorative lighted mirror indoors.

ความรู้เพื่อหญิงไทยและจิตอาสา
เรื่องโดย กำลังใจ แด่เพื่อหญิง
Photo Credit: Min An


มุมเปลี่ยน ก็มองเปลี่ยน

โดย กำลังใจ แด่เพื่อนหญิง

ผัวโหดเลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง! ซ้อมเหมือนกระสอบทราย!’

น่าจะเป็นพาดหัวข่าวที่พวกเราจิตอาสาได้อ่านอยู่เนืองๆ จนเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่พลเมืองดีทั้งหลายขัดใจก็คือ ทำไมผู้หญิงยอมทนกับผัวเฮงซวยแบบนั้น

อาจารย์วิลาสินี พนานครทรัพย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ความรุนแรงในความรักมักมีลักษณะเป็นวงจร ทำให้น้อยคนที่จะสามารถเดินออกจากความสัมพันธ์ทันทีหลังโดนทำร้ายครั้งแรก เพราะสิ่งที่เรียกว่า ความรักหลังการทำร้าย การขอโทษที่แสดงการสำนึกผิดของคนรัก ทำให้อีกฝ่ายที่ถูกทำร้ายให้อภัย และมองว่าเป็นแค่ความลืมตัว… และมองความรุนแรงเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้น

ผู้เขียนขอสะกิดสะเกาความคิดของผู้อ่านว่า ที่จริงแล้วการเปลี่ยนทัศนคติหรือเปลี่ยนใจคนๆหนึ่ง มันอาจต้องการเพียงคำเตือนที่ตรงใจจากบุคคลที่เคารพ ข้อมูลที่โดนใจ และเวลาที่สุกงอม ที่จะทำให้ผู้หญิงเราสะดุ้งตื่นจากความเชื่อแบบรักโรแมนติกยอมตายแทนกัน มองเห็นความเป็นจริงที่เป็นโทษ และกล้าที่จะเลือกตัดสินใจในแบบที่เป็นคุณกับตัวเอง

การก้าวข้ามเช่นนี้ ผู้เขียนขออ้างอิงคำว่าThe Tipping Point ซึ่งเป็นทฤษฎีการรณรงค์ที่ชื่อว่า ‘ทฤษฎีจุดขยับ’ ที่คิดค้นโดย Malcolm Gladwell โดยมีองค์ประกอบสำคัญสามประการคือ กลุ่มบุคคลพิเศษจำนวนหนึ่ง (The Law of the Few) การติดตรึงของสาร (The Stickiness Factor) และพลานุภาพของบริบทแวดล้อม (The Power of Context)

ถ้าอธิบายแบบที่ผู้เขียนเข้าใจ จุดขยับ ก็คือ จุดที่ทำให้บุคคลหรือสังคมสะดุดใจ และเกิดความคิดใหม่ พฤติกรรมใหม่ และความรู้ใหม่ หากจะยกตัวอย่างอันสูงค่าของสังคมไทย ผู้เขียนขอน้อมเชิญบุคคลตัวอย่างสูงสุด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อน (รัชกาลที่ 9) ซึ่งทรงคิดค้นและมอบ ‘แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง’ ให้แก่ปวงประชา ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่าย ปฏิบัติตามได้จริง ไม่เลือกบริบทเมืองหรือชนบท ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ มุ่งให้ทุกคนพึ่งพาตัวเองได้ พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นจนเกิดความยั่งยืน ส่วนบริบทที่ทรงพลังคือความศรัทธาของประชาชนต่อผู้เป็นเจ้าของแนวคิด และความเป็นประเทศเกษตรกรรม ทำให้คนไทยทุกคนเข้าใจได้ทันทีว่าความมั่นคงทางอาหารนั้นสำคัญกับความอยู่รอดของประเทศอย่างไร

แม้ตัวอย่างนี้จะไม่ใช่เรื่องของความรุนแรงในชีวิตคู่ แต่ในนัยยะเดียวกัน สตรีบางคนที่ยอมเดินหน้าชนผู้ชายที่ทรงอิทธิพลเพื่อเปิดเผยโฉมหน้านักทารุณกรรมทางเพศโดยไม่กลัวผลกระทบ ก็คือผู้หญิงกลุ่มคนพิเศษที่สร้างกระแส ‘Me, too!’ ทำให้ปัญหาการกรรโชกทางเพศในวงการบันเทิงไม่อาจซ่อนอยู่ในเงามืดได้อีกต่อไป และกลายเป็นลูกโซ่ทางสังคมในระดับโลกต่อไป

ถ้ากลับมามองในเรื่องที่เบาสมองลงมาหน่อย วงการประชาสัมพันธ์หรือรณรงค์ก็เป็นอีกวงการหนึ่งที่อาศัยทฤษฎีจุดขยับเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเข้าใจ และทัศนคติของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ‘เจ็บเพราะโควิดก็มากพอ อย่าเจ็บต่อเพราะพนัน’ ‘ยาบ้า ผู้เสพถึงตาย ผู้ขายติดคุก’ ‘ทรัพยากรน้ำมีวันหมด ใช้ทุกหยดอย่างรู้คุณค่า’ หรือ ‘อ๊ะอ๊ะ อย่าทิ้งขยะ ตาวิเศษเห็นนะ

ลองมาดูว่า ถ้าผู้หญิงที่ไม่กล้าก้าวออกจากความรักอาบยาพิษ เช่น เมียที่ยอมตัวเป็นกระสอบทราย จุดยืนของเธออาจจะเกิดจาก

#1 เธอกลัวที่จะอยู่คนเดียว เงื่อนไขของมนุษย์ทำให้คนเราต้องการอยู่กันเป็นคู่ ใครสักคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันและผ่านทุกข์สุขด้วยกัน แต่ไปๆมาๆ ไหงผู้หญิงผ่านแต่ทุกข์อย่างเดียว ไม่ค่อยได้ผ่านสุขเลย ผู้หญิงที่เชื่อว่าต้องอยู่เป็นคู่ จะยอมทนกับผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติกับเธอเลวร้ายเพียงใด เพราะเธอมองว่าเขาก็เป็น comfort zone ของเธอ

#2 เธอรู้สึกตัวเองไม่มีค่า ผู้หญิงที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ความรุนแรง จะมีความเคารพตัวเองต่ำ พวกเธอคิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอสำหรับความรักที่ดี หรือไม่รู้ว่าจะไปแสวงหาได้ที่ไหน ยิ่งเป็นเช่นนั้น พวกเธอก็ยิ่งไร้สุข โดดเดี่ยวจากเพื่อน รู้สึกต้อยต่ำ จนอาจรู้สึกว่า ไม่มีค่าพอที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดี

#3 เธอกลัวความเปลี่ยนแปลง ชายหญิงที่มีชีวิตคู่ร่วมกันเป็นระยะใหญ่จะมีกิจวัตรที่คุ้นชินลงตัว หากว่าต้องให้ผู้หญิงหักดิบจากความคุ้นชินนั้น เธอจะรู้สึกว่ายากจนเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ทีเดียว หรือถ้าตัดใจออกจากบ้านไปได้ ก็มักจะไปไม่นาน แล้วก็ต้องย้อนมาอีกครั้ง หรืออีกหลายๆครั้ง ถือเป็นวงจรของชีวิตคู่ที่เป็นพิษ

#4 เธอโทษตัวเอง เมื่อถูกกระทำไปนานๆผู้หญิงจะเริ่มโทษตัวเองในทุกสิ่งที่ผิดพลาด ผู้ทำร้ายมักจะพูดย้ำๆให้เธอเชื่อว่า เธอเป็นคนผิด และเธอต้องปรับปรุงตัวเอง ต้องทำตัวให้น่ารักขึ้นให้ ดีขึ้น อดทนมากขึ้น แล้วทุกสิ่งก็จะโอเค แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่เคยดีพอสำหรับผู้ชายคนนั้น

#5 เธอเชื่อว่าคู่ของตนพิเศษสุด ผู้หญิงมักเชื่อว่าคู่ของตัวเองไม่เหมือนใคร ในความไม่เหมือนนี้ก็ต้องแลกมากับการถูกปฏิบัติเช่นนั้น เธอผูกพันทางใจกับผู้ชายของเธอ เธอเป็นคนพิเศษของเขา เธอเชื่อว่าสายใยของสองคนนั้นเหนียวแน่น หาจากที่อื่นไม่ได้ และเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการสูญเสียไป

ความเป็นจริงก็คือ การปลีกตัวออกมาจากความสัมพันธ์ที่ทำร้ายผู้หญิงอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความเคยชินนั้น เป็นสิ่งที่ยากมากๆ อาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเลือกทำเลยทีเดียว จึงไม่แปลกใจที่เราเห็นเมียกระสอบทราย หรือผู้หญิงที่ถูกฆ่าด้วยน้ำมือชายคู่รัก

ถ้าทฤษฎีจุดขยับใช้ได้จริง เราก็ต้องการนางเอกหรือพระเอกขี่ม้าขาวที่จะนำสิ่งสะดุดใจหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปให้ถึงผู้หญิงที่ประสบทุกข์ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยพอที่จะตัดสินใจและก้าวออกมา

ปีนี้ เครือข่ายหญิงไทยในยุโรป สร้างคำขวัญเพื่อรณรงค์ป้องกันปัญหาความรุนแรงทางเพศในความสัมพันธ์ใกล้ชิด ว่า ‘รู้จัก รู้ใจ ป้องกันภัยชีวิตคู่’ เครือข่ายฯเป็นที่รวมของอาสาสมัครที่มีประสบการณ์ และภาคีที่ให้ความช่วยเหลือและเสริมพลังให้ผู้หญิงไทยในยุโรปมานับคนไม่ถ้วน

ผู้หญิงต้องรู้จักผู้ชายที่ตนเองใช้ชีวิตด้วยแบบใจเปิดกว้างและไม่เข้าข้างตนเอง ผู้หญิงต้องรู้ใจตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุด และผู้หญิงต้องเชื่อว่าภัยจากชีวิตคู่นั้นป้องกันได้ ขอเพียงให้เปลี่ยนมุมมอง จากผู้ถูกกระทำ มาเป็นผู้มองดูการกระทำนั้นว่าเป็นธรรมและเป็นคุณกับตนเองหรือไม่

ถ้าผู้อ่านกำลังตั้งคำถามกับชีวิตคู่ของตัวเอง ก็ลองถามตัวเองว่า เรารู้จักคู่ของเราอย่างถ่องแท้ อย่างไม่มืดบอดหรือเปล่า เรารู้หรือเปล่าว่าความรักหลังทำร้ายคือความรักที่แท้จริงหรือเป็นแค่กับดัก เรารู้ความต้องการที่แท้จริงของเขาและของตัวเองหรือไม่ เรารู้หรือเปล่าว่าการทำร้ายมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลดลง และ เราหลอกตัวเองไปวันๆใช่ไหมเวลาที่เราพูด(หรือเชื่อ)ว่า ‘เวลาไม่เมา เขาก็ดีใจหาย’

คำกล่าวอมตะในภาพยนต์ไตตานิกตอนที่พระเอกพยายามห้ามนางเอกไม่ให้กระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตายว่า ‘You jump, I jump!’ (ถ้าเธอกระโดด ฉันก็กระโดด) แสดงถึงความเชื่อว่ารักที่โรแมนติกคือการร่วมหัวจมท้ายกันแม้จะตายก็ตายด้วยกัน แต่พระเอกในชีวิตจริงของผู้หญิงในวงจรความรุนแรงไม่ได้ร่วมกระโดดลงในห้วงเหวแห่งความทุกข์ แต่แค่ต้องการผลักเธอลงไป แล้วดึงขึ้นมาปลอบขวัญ แล้วก็ผลักลงอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

คุณมองเห็นวงจรนั้นหรือยัง

ผู้เขียนขอให้กำลังใจว่า เพื่อนหญิงไม่จำเป็นต้องกระโดดลงไปในเหวนั้น เส้นทางที่ขรุขระน้อยกว่ายังมีให้เลือก ขอเพียงตระหนักว่า ตัวเองเป็นที่พึ่งของตนเองได้ มองเห็นคุณค่าภายในของตน และหยุดโทษตัวเองว่าสิ่งแย่ๆนั้นเป็นความผิดของตน เมื่อเพื่อนหญิงคิดได้ดังนั้น ก็เท่ากับเพื่อนหญิงได้ “ขยับ” จากขอบเหว มาสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว

ด้วยปรารถนาดีเสมอ

I am no longer accepting the things I cannot change. I am changing the things I cannot accept.’ – Angela Davis.

‘ฉันเลิกยอมรับในสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ฉันเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ฉันไม่อาจยอมรับได้’ – แองเจลา เดวิส