เรื่องเล่าจากหย่งศรี (https://www.facebook.com/441448396692939/posts/667178204119956/)

ปลดปมในใจ สิ่งที่ใช่ก็มา

ฉันแต่งงานตั้งแต่อายุ ๒๖ ปี เป็นคนที่สองของกลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัย ซึ่งนับว่าเร็วมากและไม่มีใครคาดคิด รวมถึงตัวฉันเองด้วย

ดูหมอมากี่หมอ ก็มักจะบอกว่าฉันเป็นคนไม่มีดวงเรื่องคู่ ถ้าจะได้แต่งก็ช้า อยู่กันไปก็เลิก บางหมอถึงกับบอกว่าฉันเป็นคน “ดวงกินผัว” ใครมาอยู่ด้วยจะพินาศฉิบหายหมด!

เอาเป็นว่า… ตั้งแต่ฉันได้แต่งงาน ก็เลิกดูหมอมาจนวันนี้ (ฮา)

เมื่อแต่งงานแล้ว ระยะแรกคนมักจะถามว่า เป็นไงบ้างชีวิตหลังแต่ง? ผ่านไปได้สักปีกว่า คนก็เริ่มถามว่า เมื่อไรจะมีน้อง ท้องหรือยัง?

ครั้งที่จำได้ไม่ลืม คือตอนที่ขึ้นไปเชงเม้งที่ อ. เถิน จ. ลำปาง บ้านเกิดของคุณยายฉัน ซึ่งยังมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ที่นั่นมากมาย เย็นวันหนึ่งฉันไปสวัสดียายนิ่มกับยายเฮง ลูกพี่ลูกน้องของยาย

คุณยายทั้งสองถามว่า เมื่อไรจะมีลูกเสียทีล่ะหย่ง

ฉันตอบไปว่า ยังไม่พร้อมค่ะ ยังอยากเที่ยว อยากทำอะไรอีกมาก และอันที่จริง ไม่ได้รู้สึกว่าอยากมีลูก เพราะรู้สึกว่าชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ลำพังตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอดอยู่แล้ว

ฉันแซวคุณยายทั้งสองว่า ทำไมยายอยากให้ฉันมีลูกจัง ถ้ายายอยากมีขนาดนี้ ทำไมไม่มีเอง?

คุณยายตอบทันทีว่า ยายสองคนไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีคู่ มันก็มีไม่ได้ แต่หย่งได้แต่งงาน แต่งงานแล้วก็ต้องมีลูก แก่เฒ่าไปก็จะได้มีคนดูแล

ฉันได้แต่ยิ้มตอบกลับไป แต่ใจฉันไม่เห็นด้วย จะปล่อยให้ตัวเองมีลูกโดยไม่คิด ไม่เตรียมตัวนั้น ไม่ได้เลย

สำหรับฉันการมีลูกเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก น่าจะใหญ่ที่สุดในชีวิตของคนๆ หนึ่งแล้ว เพราะเราไม่สามารถเอากลับไปคืนได้ ถ้าเกิดเขามาแล้ว ก็ต้องเลี้ยงดูไปจนกว่าจะตายจากกัน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่คิดจะมีก็มี

และฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะมีลูกมาไว้ให้เขาดูแลเราตอนแก่เฒ่า ลูกฉันจะเป็นลูกครึ่ง เขาจะเกิดและเติบโตที่เมืองนอก ฉันคงไม่สามารถคาดหวังให้เขามาดูแลฉันและสามีแบบวัฒนธรรมไทย และฉันเองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น ฉันอยากให้ลูกไปมีชีวิตของตัวเอง ส่วนเราก็ดูแลตัวเอง ฉันและสามีจะย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราเอง เมื่อถึงวัยอันควร เราไม่ต้องการเป็นภาระให้ลูกหลาน

คิดมากอย่างนี้ตั้งแต่ยังไม่มีลูกแล้ว… ฉันน่ะ

แต่ก็แปลกใจ ที่เหตุการณ์นี้ คำพูดนี้ ติดหูมาโดยตลอด… แต่งงานแล้วก็ต้องมีลูก

……….

พอย้ายมาอยู่ที่เยอรมนี คำถามว่าเมื่อไรจะมีลูกก็ตามมาด้วย ความเครียดในการปรับตัวกับบ้านใหม่ สังคมใหม่ วิถีชีวิตใหม่ ยิ่งทำให้ไม่กล้ามีลูก

ไหนจะเรื่องการเงิน – สามีทำงานคนเดียว หากต้องเลี้ยงเราสามปาก มันคงไม่พอกิน

ไหนจะเรื่องภาษา – ฉันยังพูดเยอรมันไม่คล่อง ถ้าตั้งท้องแล้วเจ็บแบบจุกเสียด ฉันจะอธิบายให้หมอฟังรู้เรื่องได้อย่างไร

ไหนจะรู้ตัวว่า ฉันคงเป็นแม่ที่ใจร้าย เคี่ยวเข็ญลูกเรื่องเรียนมากๆ จ้ำจี้จ้ำไชลูกทุกอย่าง เพราะหวังให้ลูกได้ดี

รุ่นพี่หลายคนบอกว่า หย่งอย่าคิดมาก ทุกคนมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ เดี๋ยวก็เลี้ยงได้เอง ฉันตอบกลับไปว่า หากให้เลี้ยงลูกตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ของฉัน ฉันคงตีลูกตายคามือแน่ๆ

ส่วนคุณสามีนั้น แต่ไหนแต่ไร ก็ไม่ได้นึกอยากมีลูก ไม่พร้อม เคยแซวเขาเล่นๆ ว่า ถ้าฉันบอกเธอว่าฉันท้อง เธอจะรู้สึกอย่างไร?

คำตอบที่ได้ คือ การหายใจออกเฮือกใหญ่

เป็นอันว่าไม่ต้องอธิบาย

แต่ในขณะเดียวกัน การที่เป็นผู้หญิงและมีนาฬิกาชีวิตติดตัวอยู่ด้วย ทำให้อีกใจหนึ่งคิดว่า หย่ง… ถ้าคิดจะมีลูก ก็ควรจะเริ่มปฏิบัติการแล้วไหม อายุจะ ๓๐ แล้ว ยิ่งรอช้า ยิ่งเสี่ยง โอกาสที่ลูกจะเกิดมาแล้วไม่สมบูรณ์นั้นมีสูง

ช่วงอายุเข้าใกล้เลข ๓๐ ฉันเริ่มคิดเรื่องมีลูกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อย

……….

ระหว่างที่อยู่ที่เยอรมนี ฉันไปเรียนขับรถ ดังที่ได้เล่าไปแล้วเสียยืดยาวในเรื่อง กว่าจะได้ใบขับขี่เยอรมัน

หลายครั้งในชั่วโมงเรียน ฉันโมโหครูมากที่สั่งให้ทำโน่นนี่ (ก็หน้าที่เขาต้องบอกต้องสอนนี่นะ) ตัวความโกรธพุ่งทะลุขึ้นมาในใจ บางครั้งฉันตวาดครูกลับไปด้วย! จนฉันต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่ฉันเป็นอะไร ความเกรี้ยวกราดนี้มาจากไหน ฉันไม่ได้เป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว นี่มันคืออะไร

ประกอบกับเกิดเหตุบางอย่างในครอบครัว ทำให้ฉันต้องกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และได้มีโอกาสคุยกับน้องชาย ซึ่งอายุห่างจากฉัน ๖ ปี และเราไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะตั้งแต่ฉันเรียนจบปริญญาตรี ก็มาเรียนต่อเมืองนอก แล้วก็ย้ายมาเยอรมนีอีก เราเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันตัวเป็นๆ นั่งคุยกันยาวๆ

จำได้ว่านั่งคุย และเล่าเรื่องราวในชีวิตฉันให้น้องฟัง ๓-๔ ชั่วโมง น้องเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเล่าอะไรไปบ้าง แต่จำได้ว่า ตอนจบ น้องชายบอกว่า “เจ๊หย่งมีปมเรื่องพ่อเยอะมาก และเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ปมเรื่องนี้ได้ทำให้พฤติกรรม/ตัวตนของเจ๊หย่งบิดเบี้ยว มาจนถึงปัจจุบัน”

ว้าว…

สำหรับฉัน มันเหมือนเกิดเสียง “ปิ๊ง” ขึ้นในหัว ตอนนั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าที่น้องพูดหมายความว่าอย่างไร แต่มันช่วยให้ฉัน “รู้ตัว” ว่าฉันมีปมเรื่องพ่ออยู่นะ ปมที่ฉันคิดว่ามันหายไปหมดแล้ว ฉันจัดการมันได้แล้ว

……….

ตอนเด็กๆ ฉันเป็นคนเรียนดีมาก มักสอบได้ที่ ๑ หรือ ๒ แต่มันก็เป็นโชคร้ายของฉัน ที่มีพ่อที่เข้มงวดเรื่องการเรียนมาก

ตอนเข้าประถม ๑ ที่โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ ฉันสอบกลางภาคได้ที่ ๑ หลังจากนั้นพอคาดโทษมาตลอดว่าต้องสอบได้ที่ ๑

ถ้าฉันสอบได้ที่ ๒ ฉันจะโดนด่า
ถ้าฉันสอบได้ที่ ๑ แต่คะแนนลดลง ฉันจะโดนด่า
ถ้าฉันสอบได้ที่ ๑ คะแนนก็สูงขึ้น แต่ที่ ๑ ห้องอื่น เขาได้คะแนนมากกว่า ฉันก็จะโดนด่า

พ่อไม่เคยมีช่องให้ฉันได้ทำผิดพลาดเลย ทุกครั้งที่พลาดคือ โดนด่า จากคนที่เป็นพ่อ ที่เด็กผู้หญิงทุกคนอยากได้รับความรักและการยอมรับ

มันเหมือนเราต้องเล่นกีฬากระโดดสูง ที่พอเราทำได้ บาร์นั้นก็ถูกยกให้สูงขึ้น สูงขึ้น ไม่มีวันจบ ไม่มีวันหยุด และตัวฉันเองนั้นไม่เคยดีพอ

ฉันมองเพื่อนร่วมห้องด้วยความอิจฉาผสมน้อยเนื้อต่ำใจ บางคนสอบได้ที่ ๕ ที่ ๗ พ่อแม่เขาดีใจมาก ฉลองกันใหญ่ ฉันสอบได้ที่ ๑ ดีกว่าอีก แต่โดนด่า

ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าฉันไม่สมควรได้รับคำด่าเหล่านี้เลย (I don’t deserve this)

ตอนสอบไล่ ป. ๒ ฉันสอบได้ที่ ๒ ฉันรู้ตัวว่าต้องโดนด่าแน่ๆ แต่คนที่สอบได้ที่ ๑ – ๓ จะได้รับรางวัลจากมาเซอร์

เด็กหญิงหย่งจัง วัย ๘ ขวบ รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดของตัวเอง กำกล่องดินสอ แล้วเอาไปชูให้พ่อดู พร้อมกับบอกว่า “พ่อดูสิ มาเซอร์ให้ของขวัญหนูด้วย”

ใบหน้าพ่อดูอารมณ์ดี พ่อถามว่า สอบได้ที่เท่าไร

สิ้นเสียงฉันที่ตอบว่าได้ที่ ๒ สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปทันที และด่าฉันอย่างโกรธเกรี้ยว โง่… ใช้ไม่ได้…

อันที่จริงฉันจำไม่ได้หรอกว่าพ่อด่าว่าอะไรบ้าง จำได้แต่ว่า พ่อด่าจนร้องไห้ ทนไม่ไหว ต้องวิ่งหนีออกมา ลูกค้าที่นั่งคุยดีๆ อยู่กับพ่อ ก็ร้องบอกว่า เถ้าแก่ พอได้แล้ว และวิ่งตามออกมาปลอบฉัน

ฉันมานั่งคุดคู้ร้องไห้อยู่ที่หลังรถ คุณลูกค้ามาปลอบ บอกว่า อย่าร้องไห้นะ พ่อเขารักหนูนะ

ฉันจำได้ว่าตัวเองตอบกลับไปว่า พ่อไม่รักหนูหรอก ถ้าเขารักหนู เขาจะพูดแบบนี้กับหนูได้ยังไง

เด็ก ๘ ขวบเข้าใจความรักแบบนี้ไม่ได้จริงๆ

……….

ฉันโตมากับความกลัวพ่อด่าแบบนี้ น้องสาวฉันก็โดน แต่เนื่องจากน้องเรียนไม่เก่งเท่า ได้ลำดับที่เลข ๒ ตัวบ้าง พ่อจึงคาดโทษให้ต้องสอบได้ที่เลขตัวเดียว ส่วนน้องชายยังเล็ก พ่อไม่ว่าอะไร และอันที่จริง พ่อรักลูกชายมาก ไม่ค่อยดุน้อง

เวลาผลสอบออก เราจะต้องมาถามกันก่อนว่าใครได้เท่าไร ถ้าผลสอบดีทุกคน เราถึงจะบอกพ่อ ถ้าใครคนหนึ่งได้ไม่ดี เราก็จะไม่บอก เพราะไม่อยากโดนด่า แต่มันก็เป็นเพียงแค่การยืดระยะเวลาเท่านั้น เพราะสักพัก พ่อก็จะมาถามอยู่ดีว่า ผลสอบออกหรือยัง ได้ที่เท่าไร

ครั้งหนึ่งฉันเคยกล้าๆ กลัวๆ ถามพ่อว่า ทำไมต้องเข้มงวดเรื่องเรียนขนาดนี้

พ่อตอบว่า โตขึ้นไป หย่งจะเข้าใจเอง ว่าทำไมพ่อถึงต้องทำแบบนี้

วันนั้น ฉันไม่เข้าใจ

……….

พอเรียนจบประถม ฉันมาสอบเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา ฉันสอบติดได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้จับฉลาก ไม่ได้ใช้เส้น ฉันดีใจมาก แม่รีบบอกฉันว่า ไปบอกพ่อนะ ว่าสอบเข้าโรงเรียนสตรีที่ดีที่สุดของประเทศได้แล้ว เลิกด่าเรื่องเรียนได้แล้ว

ฉันไปบอกพ่ออย่างนั้นจริงๆ พ่อยิ้มหน้าบาน ประหนึ่งพอใจที่ฉันมาตอกพ่อกลับได้ และหลังจากนั้น พ่อก็ไม่เคยมาถามผลสอบกับฉันอีกเลย

แต่… ประสบการณ์ทั้งหมด ทำให้ฉันกลายเป็นเด็กช่างเปรียบเทียบไปแล้ว ฉันคอยดู นั่งจด ว่าเพื่อนในห้องแต่ละคนได้คะแนนเท่าไร และฉันก็ได้พบว่า ฉันไม่ได้เป็นที่หนึ่ง อีกต่อไปแล้ว เป็นคนเรียนได้ลำดับกลางๆ ของห้องเท่านั้น แต่มีความโดดเด่นที่ภาษาอังกฤษ เพราะเรียนประถมที่โรงเรียนแบบคอนแวนต์มา

พ่อไม่ถามฉันเรื่องการเรียน แต่ตอนเลือกสายวิชา ม. ๓ ขึ้น ม. ๔ ฉันซึ่งมีผลการทำแบบทดสอบวิชาแนะแนว ออกมาชัดเจนมากว่า ต้องเรียนสายศิลป์ เพียงแต่จะเป็นศิลป์ภาษาหรือศิลป์คำนวณ พ่อสั่งให้เรียนสายวิทย์ ด้วยคำประกาศิตที่ว่า โตขึ้นไม่เป็นหมอ เป็นวิศวะ แล้วจะทำมาหากินอะไร

แม่บอกว่า หย่งเรียนภาษาอังกฤษดี ไปเรียนสายวิทย์แล้วเอาอังกฤษเป็น “แต้มต่อ” ดีกว่า ถ้าเลือกสายศิลป์ คณะที่เอ็นท์ได้มันมีน้อย

ฉันร้องไห้หนักมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กอายุ ๑๔ ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นจะทำมาหากินอะไร รู้แต่ว่า ชอบเรียนภาษา ไม่ชอบเลข ไม่ชอบวิทย์ ไม่ได้อยากเป็นหมอ เป็นวิศวะ

พอขึ้นม.ปลาย จากคนที่เคยเรียนได้เกรด ๓.๙, ๔.๐ ก็ลดลงมาเหลือ ๓ กว่าๆ

หนักสุดคือ ม.๕ ได้ ๒.๙ สอบตกวิชาฟิสิกส์ด้วย ดีว่าตอนกลางภาคทำคะแนนเก็บมาดี จึงได้เกรด ๑ มาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เป็นเกรด ๑ ตัวแรก และตัวเดียวในชีวิต

ความภาคภูมิใจในตัวเองถูกทำลายไปย่อยยับ จากคนที่เคยเรียนเก่ง กลายเป็นคนที่สอบได้คะแนนรองที่โหล่ของห้องในวิชาฟิสิกส์

พฤติกรรมของนางสาวหย่ง ถึงขั้นเดินไปหาเพื่อนห้องข้างๆ คนที่เรารู้ว่าเรียนไม่เก่ง แล้วถามว่าเขาได้คะแนนวิชาฟิสิกส์เท่าไร (สมมติว่าเต็ม ๕๐) พอเขาบอกว่าได้ ๒๖ นางสาวหย่งรีบตอบเขาไปว่า “ชั้นได้ ๒๘ ล่ะ” แล้วก็สะบัดบ็อบเดินออกมา

ถามว่าพฤติกรรมนี้ น่ารังเกียจไหม? ตอบเองเลยว่า มาก

ถามว่าทำอย่างนี้ เพื่อนจะเกลียดไหม? คำตอบคือ แน่นอน

ถามว่ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป? ก็บอกได้ว่า ไม่รู้

ไม่รู้ตัวว่า ที่ทำลงไป เพราะต้องชดเชยสิ่งที่ตัวเองขาด ในเมื่อมันไม่ได้จากในบ้าน ก็ต้องมาหาเอาข้างนอก และหาอย่างผิดๆ ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นไปอีกด้วย

พฤติกรรมบิดเบี้ยวไปได้ถึงขั้นนี้…

……….

ต่อมา ฉันเอนท์ติดคณะรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬา (มหากาพย์เรื่องเอนทรานซ์ ขอยกไปเขียนต่างหากอีกเรื่องหนึ่ง ยาวมาก) ซึ่งขณะนั้น เป็นคณะที่มีคะแนนสอบเข้าต่ำสุด ที่สูงที่สุด สูงกว่าอักษร สูงกว่านิเทศ

ฉันสอบได้แม้จะเป็นเด็กสายวิทย์ น่าภาคภูมิใจมาก ครูที่โรงเรียนก็ชม แต่พ่อไม่เคยชม พ่อไม่ได้ดีใจ เห็นดีเห็นงามด้วย พ่ออยากให้เรียนบัญชีมากกว่า จบไปเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เงินเดือนเป็นแสน

แม้จะไม่ได้คำชมและกำลังใจจากพ่อ แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ใส่ใจและไม่ได้อยากได้แล้ว ฉันรู้แล้วว่า ฉันเก่งและมีความสามารถพอตัว

ฉันจบได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ พ่อไม่เคยชมอะไร

วันที่รับปริญญา พ่อไม่มา ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ดีเสียอีก ถ้ามาแล้วจะมาด่ากลางงาน จะทำให้หมดอารมณ์ฉลองไปเสียเปล่าๆ

ฉันสอบได้ทุนไปเรียนโทที่สิงคโปร์ พ่อก็ไม่พูดอะไร ไม่มางานรับปริญญาด้วย

ฉันสอบได้ทุนฟุลไบรท์ ไปเรียนโท ที่อเมริกาอีกสองใบ พ่อก็ไม่พูดอะไร แน่นอนว่า งานรับปริญญาก็ไม่มีใครมา (มันไกลด้วยแหละ เข้าใจ)

ฉันก็ไม่ได้คาดหวัง รู้แล้วว่าพ่อเป็นแบบนี้ ครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ ฉันโอเค ฉันเอาตัวรอดเองได้แล้ว

ฉันไม่ได้รู้ตัวว่า ปากที่บอกว่าฉันโอเค จริงๆ แล้วไม่ใช่ ฉันยังมีปมเรื่องนี้ และฉัน “หนี” พ่อมาตลอด… หนี เพราะ “กลัว”

……….

แต่เมื่อต้องย้ายมาอยู่เยอรมนี เท่ากับว่าตัวฉันเองถูกแยกตัวเองออกมาจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ที่คุ้นชิน และเมื่อต้องอยู่คนเดียว นานๆ เข้า (สามีไปทำงานวันจันทร์ กลับวันศุกร์ด้วย) เลยยิ่งเห็นอารมณ์หลายอย่างของตัวเองที่ถูกกดทับมาตลอดเป็นสิบปี เช่น ความโกรธเกรี้ยว ที่โผล่ออกมาตอนเรียนขับรถ

พอน้องชายชี้ให้เห็นว่ามีปม ฉันจึงได้กลับไปทบทวน และเห็นปมของตัวเองเรื่องพ่อ ก้อนเบ้อเริ่ม ดังที่เล่าไปข้างต้น

เห็นปมแล้วยังไง?

ครึ่งปีต่อมา ชีวิตก็นำพาให้ต้องกลับไปเมืองไทยอีก ไป “เผชิญหน้า” กับความกลัวในจิตใจของตัวเอง กับพ่อ

คราวนี้พ่อเรียกให้กลับ มีเรื่องจะคุยด้วย

ฉันกลัวมาก ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร จะโดนด่าอีกมากน้อยแค่ไหน

จำได้ว่า วันที่จะต้องไปขึ้นรถตู้ไปหาพ่อ (พ่อฉันทำโรงใยมะพร้าวอยู่ทางใต้) ทุกคนตื่นตีห้าลุกขึ้นมาส่งฉันอย่างพร้อมเพรียง น้องชายถึงขั้นตบไหล่ บอกว่าสู้ๆ นะ ความรู้สึกเหมือนฉันใส่ตะเบงมาน สะพายดาบ กำลังจะไปออกรบ

……….

ห้าวันที่ได้อยู่กับพ่อ เหมือนกับการเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมขั้นเข้มข้นสูงสุด ไม่ว่าพ่อจะพูดอะไรออกมา ฉันจะนึกค้าน นึกเถียง นึกต่อว่า แต่เพราะพ่อเป็นพ่อของฉัน ฉันจึงไม่กล้าพูดสวนกลับไป ได้แต่นั่งฟัง ฉันนั่งนับตัวความโกรธที่พุ่งขึ้นมา นับได้เป็นร้อยครั้งต่อวัน

คืนแรกผ่านไป ฉันถึงเข้าใจว่า ออ… ที่พ่อเรียกมานี้ คือ แค่อยากให้มีคนฟังเขาพูด เขาไม่ได้เรียกฉันมาด่า (แต่มันก็มีบ้างที่จะวกเข้าเรื่องฉัน)

พอวันที่สาม บทสนทนาพาไป ฉันเลยได้โอกาสบอกพ่อว่า รู้ไหม ฉันเจ็บปวดมาก ที่พ่อกวดขันฉันหนักๆ เรื่องเรียนตอนเป็นเด็ก ที่ด่าว่าฉันว่า โง่ ใช้ไม่ได้ ฯลฯ

พ่อบอกว่าไม่จริง พ่อไม่ได้พูดแบบนั้น

ฉันตอบเสียงแข็งว่าจริง และฉันเจ็บปวดมาก

พ่อนิ่งไปสักพัก แล้วบอกว่า พ่อไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงพูดแบบนั้น ปฏิบัติแบบนั้นกับฉัน พ่อแค่รู้ว่า เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องปฏิบัติคนละอย่าง

พ่อดูจะจำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยว่าอะไร ฉันไว้บ้าง

……….

วินาทีนั้น ฉันตระหนักได้ว่า หย่ง… คนที่ทำให้ตัวเธอเป็นทุกข์มาโดยตลอด ไม่ใช่พ่อ แต่คือตัวเธอเอง

เธอคือคนที่แบก ที่กำ คำพูดทุกอย่างที่พ่อพูดไว้มาตลอด

เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว พ่อเขาลืมไปหมดแล้ว แต่คนที่จำคือเธอ และคนที่ทุกข์ก็คือเธอ

พ่อคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ ณ วินาทีนี้ เขาก็ไม่ได้ด่าเธอนะ

เธอต่างหาก ที่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เล่นซ้ำให้หัวเธอมาตลอดกี่สิบปี

วางมันลงไหม หย่ง….

……….

หลังจากเหตุการณ์นี้ ก้อนร้อนๆ ในใจฉันก็หายไป ฉันไม่โกรธพ่อแล้ว ฉันรู้แล้วว่าความเจ็บช้ำทั้งหมดนี้ ฉันเป็นคนแบกมันไว้เอง

จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่พ่อเข้มงวดกับฉัน แต่วงจรอุบาทว์นั้นหยุดได้ที่ตัวฉันเอง พ่อคงทำเพราะหวังดีกับฉัน แต่ฉันไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอย่างนั้นกับลูกของฉัน ฉันสามารถเลี้ยงลูกในแบบที่ฉันอยากให้เป็น เพราะฉันเองก็เคยเป็นลูกมาก่อน ฉันรู้ดีว่าลูกจะเจ็บปวดเวลาที่พ่อแม่พูดแบบไหน พ่อแม่ทำอะไร และฉันไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอย่างนั้น

ฉันรู้ได้เองจากภายใน… ว่าฉันพร้อมมีลูกแล้ว… ฉันมีลูกได้แล้ว…

เสียงด่าลูก ตวาดลูกในหัวฉันที่ว่า… จะมาร้องไห้อะไร ตอนเด็กๆ ชั้นก็โดนมาอย่างนี้ ยังรอดมาได้ เธอโดนแค่นี้จะมาร้องไห้หาอะไร… หายไปแล้ว

แต่ลูกก็ยังไม่มา…

……….

ผ่านมาอีกปีกว่า พ่อ ฉัน สามี และน้องสาว พากันไปเยี่ยมเน่ (คุณย่า) ที่เมืองจีน พ่อดูมีความสุขมากที่ได้พาลูกๆ กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด (ตอนเด็กๆ เรามากันทุก ๓ ปี แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็แทบไม่ได้มาเลย) เราค้างแถวนั้น ๒ คืน แล้วก็กลับเข้าเมือง

ระหว่างทางที่นั่งรถตู้กลับ ฉันนึกสนุกถามพ่อว่า พ่อ ตอนเด็กๆ มีอะไรที่อยากได้บ้างไหม? ความฝันตอนพ่อเป็นเด็กๆ น่ะ

ฉันเดาว่าพ่ออาจจะตอบเป็นของเล่น เช่น เครื่องบิน รถยนต์ ฯลฯ ฉันคิดแค่ว่า เผื่อพ่อตอบอะไรเจ๋งๆ ฉันจะเอามาเป็นตัวเปิดเรื่อง บทความท่องเที่ยวเกาะไหหลำของฉัน

พ่อนิ่งไปสักพัก แล้วตอบว่า

“อยากกินข้าวสวยล้วนๆ ไม่มีมันผสม* แล้วก็หมูต้มสักชิ้น… ถ้าได้กินนะ จะมีความสุขมากเลยล่ะ”

พ่อตอบด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขมากที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ มันเป็นความฝันที่แท้จริงของเด็กชายคนนั้นแน่นอน

พ่อตอบฉันแล้วก็นั่งหลับไป แต่ตัวฉันนั้น นั่งร้องไห้ไปตลอดทาง

ชีวิตเด็กคนหนึ่ง จะต้องยากลำบากแค่ไหน หากความฝันของเขาคือ การได้กินข้าวสวยร้อนๆ สักถ้วย กับหมูต้มจืดๆ สักชิ้น

ฉันบอกเลยว่า ข้าวสวยกับหมูต้มจืดๆ ชืดๆ นี้ ฉันไม่กินนะ อย่างฉันต้องกินหมูสไลด์ แล่บางๆ หมักน้ำซอสให้อร่อย

สิ่งหนึ่งที่เด็กคนหนึ่งร้องยี้ ส่ายหัวปฏิเสธ คือความฝันสูงสุดของเด็กอีกคน

พ่อไม่เคยบ่นตัดพ้อโชคชะตาชีวิตหรือเล่าความลำบากของตัวเองให้เราฟัง พ่อก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน ไม่มีวันหยุด ให้เราได้มีเงินใช้ ไม่เคยขาดมือ เราไม่เคยต้องหิว เราไม่เคยไม่มีกิน

แล้วฉันจะไปคาดหวังอะไรกับพ่อ กับการเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความอ่อนหวาน ความเข้าใจ คำชื่นชม อย่างที่ฉันอยากได้?

พ่อเขาคงไม่ได้รับเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเขาได้รับ เขาก็คงไม่ทำอย่างที่เขาทำกับฉัน

คำพูดสั้นๆ นี้ ยังทำให้ฉันเข้าใจด้วยว่า ทำไมพ่อต้องเคี่ยวเข็ญ กวดขันเรื่องเรียนหนังสือ

เพราะสำหรับพ่อ มันเป็นหนทางที่จะทำให้ฉันไม่ต้องมาลำบากเหมือนเขา วิธีการของพ่ออาจจะไม่ถูกที่สุด แต่เขาทำไปด้วย “ความรักและปรารถนาดีที่สุด” เท่าที่ตัวเขาในวันนั้น จะทำได้

เขาทำดีที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้ในวันนั้นแล้ว

ฉันไม่โกรธพ่อแล้ว ความขุ่นข้องหมองใจใดๆ ทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับพ่อ ได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

เชื่อไหมคะ หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป ฉันก็ตั้งท้อง

ท้อง ทั้งๆ ที่วันที่คำนวณว่าไข่ตก ฉันกับสามีไม่ได้อยู่ด้วยกัน

……….

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพียงแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง ที่ไม่ว่าจะเล่ากี่ครั้ง ก็ขนลุกทุกครั้ง

เพื่อน/น้องหลายคนมาถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะพร้อมมีลูก

ฉันมักตอบเขาไปว่า ความพร้อมทางด้านการเงินนั้นสำคัญมากระดับหนึ่ง เพราะเราย่อมอยากให้ลูกสุขสบาย ไม่อดอยาก รวมทั้งตัวเราเองก็ไม่ได้อยากลดมาตรฐานความเป็นอยู่ของเราด้วย

แต่สำหรับฉัน ความพร้อมที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ความพร้อมทางใจ

และเราจะพร้อมทางใจได้ ก็ต่อเมื่อเราได้กลับเดินทางเข้าไปในใจเรา ได้ลองพิจารณาทบทวนดูว่า เรามีก้อนปมใดๆ กับพ่อและ/หรือแม่ของเราหรือไม่ (บางคนอาจจะเป็นครู แฟนเก่า ญาติพี่น้อง ฯลฯ) และจัดการกับมัน

เมื่อเราได้เยียวยา ซ่อมแซมตัวเอง แล้ว เรานี่แหละจะรู้ตัวดีที่สุดว่า เราพร้อมแล้ว เราจะรู้เองว่า เราเป็นพ่อแม่ที่ดีได้แล้ว

เมื่อปลดปมในใจ สิ่งที่ใช่ก็มา นะคะ

ป.ล. ฉันเขียนเรื่องนี้ด้วยความรัก และจิตวิญญาณของตัวเองอย่างแท้จริง เขียนไปก็ขนลุกไป และใส่พลังความรักความปรารถนาดีมาให้กับทุกคนที่อ่านเรื่องนี้จนจบ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ

  • พ่ออธิบายต่อว่า สมัยก่อนนั้นยากจนมาก ข้าวมีราคาแพง ต้องฝานมันเป็นแผ่นๆ เอาไปตาก แล้วเอาหุงผสมกับข้าว จะได้อิ่มท้อง แต่มันแข็ง กินไม่อร่อย ส่วนเนื้อหมูนั้น ปีหนึ่งจะได้กินสองครั้งตอนไหว้เจ้า คือ ตรุษจีนและสารทจีน