จงล้มไปข้างหน้า
ถ้าคุณบินไม่ได้ ให้วิ่ง…
ถ้าคุณวิ่งไม่ได้ ให้เดิน…
ถ้าคุณเดินไม่ได้ ให้คลาน…
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม…
คุณต้องก้าวไปข้างหน้าให้จงได้….
-มาติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์-
สวัสดีจ้าสาว ๆ สะใภ้ทุกคน…🙂 “จงล้มไปข้างหน้า”
….วันนี้เราเข้ามาอัพเดท เรื่องราวผ่านร้อนผ่านหนาวสักหน่อย เพื่อเป็นกำลังใจให้หลายๆ คน ที่อาจจะกำลังท้อ เหมือนหมดหวัง ครั้งหนึ่งเราก็เคยคิดเช่นนั้น
….หลายๆคนในนี้คงจำกันได้บ้างแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนหละ😅😅😅 และขอย้ำคะ ว่าชะตาชีวิตของเรา เราเป็นคนกำบังเหียนว่าจะให้มันไปในทิศทางใด
…..ที่นำมาแบ่งปันไม่ใช่มาจากความเก่งหรือความสามารถพิเศษใดๆ แต่เกิดจากแรงบันใจในการค้นหาตัวเองคะ 😅😅
….หลายท่านอาจจะได้อ่านเรื่องเราในหนังสือเรียนภาษา Tekst bok เรื่อง Hei!! Norsk for voksne innvandrere A2 กันบ้าง อยากบอกว่าเรามีตัวตนจริงๆ เมื่อก่อนตอนเราเรียน อ่านเรื่องของคนอื่น นึกว่าเขาแต่งเรื่องมาให้เราเรียนภาษา🤔 ตอนนี้ถึงบางอ้อล่ะคะ…แวะมาทักทายกันได้นะคะ
…การทักทาย อัพเดทในวันนี้ไม่ได้ต้องการสร้างความขุ่นเคือง รำคาญใจแด่สมาชิกสะใภ้นอร์เวย์แต่อย่างใด เราแค่อยากแชร์เรื่องราวที่ขนาดว่าเรายังคิดว่ามันเกินความคาดหมาย …เราโทษตัวเองมาตลอด เห็นแต่ความล้มเหลว จุดหนึ่งเหมือนสิ้นหวัง
…ขอย้อนความนิดหนึ่ง….
…..ตอนนี้เราได้พาสฯนอร์ชแล้วได้ก่อนซัมเมอร์ อยู่ในนอร์เวย์มาครบ9 ปี ซึ่งหลังจากที่ผ่านการหย่าร้างอย่างสาหัส แถมเราอยู่อย่างไม่มีวีซ่าถึง 2 ปีเพราะถูกตีกลับขณะขอถาวร และ UDI ให้ขอยื่นติดตามบุตรแทน
…..ลูกๆ เราครึ่งไทย-นอร์เวย์ ตอนนี้พวกเขาโตมากแล้ว ตอนที่มาแค่ 4 ขวบและ 8 ขวบ ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กอยู่ klasse 8 ส่วนลูกสาวคนโต อยู่ International Baccalaureate videregårnde( IB) ปีสุดท้ายแล้ว (เรียนฟรีนะคะ ทุกวิชาสอนเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นชั่วโมงภาษานอร์เวย์ และ ภาษาเลือก ลูกเราเลือกเรียนฝรั่งเศสตั้งแต่ ungdomskole)
….เค้ามีความฝันเป็นหมอหรือไม่ก็นักพยาธิวิทยา ลูกคนโตเขียน พูด และอ่านภาษาไทยได้ดีมากๆและเพิ่งได้งานทำ หัวหน้างานเขาเห็นว่าได้หลายภาษาอาจจะให้ติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ เราเองก็ภูมิใจที่ลูกไม่ลืมภาษาไทย:) แต่ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรก็ตาม หรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเขามีความสุข เราก็มีความสุขด้วยคะ
….เรื่องงาน จากที่หางานไม่ได้เพราะภาษาเราไม่เก่งขนาดที่ว่าพูดไม่ได้เลย….เราเคยยื่นใบสมัครไปเกือบร้อยใบ….สุดท้ายจึงขอฝึกงานผ่านนาฟ อยู่หลายที่ฝึกอยู่ปีกว่าๆ จนมาได้ทำความสะอาดของคอมมูนเป็น Vikar 60% และได้ fast ของเอกชน 40% เราทำอยู่ เกือบ 2 ปี และดูท่าว่าจะไม่ได้fast ง่ายๆ และต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ทำให้เราไม่ค่อยได้เจอลูก ๆ
…..หลังจากทำงานไปด้วยเรียนนวดอโรม่าบำบัดและนวดแบบ klassisk กับสถาบันหนึ่งที่ออสโล งานทำความสะอาด+บวกค่าเลี้ยงดูลูก ๆ (เราเลี้ยงลูก 100%) เราเก็บเงินส่วนหนึ่งมาเปิดกิจการเล็กๆในเมือง เราลาออกทำความสะอาดของคอมมูนในปีแรกที่เปิดกิจการ แต่ยังทำของเอกชนควบคู่อยู่ 1 ปี และลาออกมาทำของตัวเองเต็มที่ ขณะที่เปิดกิจการเราก็เอาเงินที่ได้จากการทำงานมาเชิญวิทยากรครูไทยระดับมาสเตอร์ซึ่งเก่งมากๆ มาสอนนวดไทยให้เราที่คลีนิค และมีการสอบและออกใบประกาศให้อย่างถูกต้อง (อาจารย์ท่านนี้อยู่ที่เมือง Sarpberg ซึ่งเรานับถือเหมือนแม่คนหนึ่งเลย) ถือว่าเป็นบุญที่เราได้เจอเค้า
….. 3 ปีแล้วที่เราไม่ได้ค่าเลี้ยงดูจากพ่อของลูกตั้งแต่ปี 2014 เพราะเขาย้ายไปอยู่ต่างประเทศและแจ้งว่าตกงาน นาฟให้ถือว่าพ่อของลูกๆ ไม่มีหนี้สินต่อเรา ..ดังนั้นเราต้องรับผิดชอบลูกๆเองทุกอย่าง ส่วนแฟนปัจจุบันจะช่วยในเชิงปฏิบัติมากกว่า เช่นดูแลลูกๆ ดูแลจัดการงานบ้านมากกว่า
…. 2 ปี ครึ่งที่เราเปิดกิจการมา เมื่อต้นปีนี้เราได้ Firmmavtale สัญญา 1 ปี นวดให้พนักงานในออฟฟิศเค้าเราได้ 5 ที่ ได้แก่ 1. NAV-Moss, 2. Nav-Rygge, 3. Hansen Protection AS, 4. Moss-Hotel และ 5. Moss-Voksen Oplæring(kommune)
…..นอกจากนี้เรายังมีคลีนิคเล็กๆ บริการลูกค้าทั่วไป ซึ่งเราทำคนเดียวมาตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมาชาวสวีเดน massasje terapuet มาช่วยเรื่องกล้ามเนื้อและฝังเข็มอยู่ช่วงหนึ่งสั้นๆ .. เดือนนี้เราเพิ่งได้ผู้ช่วยเป็นคนนอร์ช ซึ่งเป็น vernepleier และเป็นครู แต่รักในอาชีพ Soneterapi มากๆ และยอมรับว่าเขาเก่งมากๆ …
…ตอนนี้เราร่วมกับผู้หญิงชาวนอร์เวย์อีก 3 คน ทำงานด้านศิลปะ อาจจะเปิดเป็นแกลลอรี่เร็วๆนี้ เราก็รู้สึกดีว่า อย่างน้อยก็มีชื่อผู้หญิงไทยคนหนึ่งร่วมด้วย หนึ่งในสมาชิกนั้นคือเจ้าหน้าที่นาฟ เป็นนักเขียน ส่วนที่เหลือก็เป็นครูและเป็นศิลปินที่มีผลงาน มีการฝึกฝนมา 30 ปี ….สิ่งที่เราได้คือ ความรู้สึกเสมอภาคที่ผู้หญิงคนนอร์ชต่างสาขาอาชีพได้ให้การยอมรับและให้มิตรภาพแก่ผู้หญิงไทย โนเนมอย่างเรา..
….จากที่เราหางานไม่ได้ ขอกู้แบงค์มาลงทุนก็ไม่ได้ ….แต่ตอนนี้เรากลับมีมือขวาเป็นคนนอร์ช เราเองแอบกรี๊ดเบาๆ มานั่งคิดว่าชีวิตมันจะผกผันอะไรปานนี้ เราคงไม่มีกำไรจากการดำเนินงานมหาศาล แต่กำไรชีวิตที่เราได้เรียนรู้และลงมือทำ มันมากกว่าตัวเลขในบัญชีเสียอีก
….ประมาณปลายเดือนกันยายนนี้หนังสือพิมพ์ Aftenposten จะมาสัมภาษณ์เรา เราสัญญาว่าจะให้เกียรติและรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะ ผู้หญิงไทยสะใภ้นอร์เวย์คะ
…อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าท้อ อย่ากลัว และอย่าสิ้นหวังนะคะ…
ขอมอบพลังบวกแด่ทุกคนคะ 🙂 เป็นกำลังให้เราด้วยนะ🙏
# ปล.
1. ของแต่งร้านเราซื้อมาจาก finn.no แทบทั้งสิ้นคะ เรามีเงินลงทุนน้อยมากเพราะค่าเรียนแพง
2. ขออนุญาตลงภาพประกอบ ใครจะเอาไอเดียการทำงาน การตลาดไปใช้ก็ยินดีนะคะ และลิ้ง์อัลบัมงานคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้แนวคิดใหม่ๆ และสร้างขวัญและกำลังใจให้อีกหลายคนได้บ้าง:)
คลิกตรงอัลบัม My work ที่ Facebook นะคะ 🙂
…2019
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจคะ
…..ชีวิตมีขึ้นมีลงคะ…ไปเร็วมาเร็วจริงๆคะ สิ่งที่นำมาอัพเดทวันนี้ อาจจะเปลี่ยนทัศนคติในการทำงาน การวางแผนอนาคต และการค้นหาตัวเองให้กับอีกหลายท่าน
….อุปสรรคมีไว้ให้วิ่งชนคะ จงเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาส….
… ปี 2019 ขอเข้ามาอัพเดทเรื่องราวชีวิตค่ะๆ ปีนี้เข้าปี ที่ 5 ที่เปิดกิจการมา และตอนนี้ได้ขายกิจการร้านนวดไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเนื่องจากโรคกระดูกทับเส้นที่คอ ที่เป็นมาตั้ง 2009 ได้กำเริบ จึงต้องพักยาว เราได้ขอให้คุณหมอประจำตัวให้ sykmeld ตั้งแต่ ต้นปี 2018 คือป่วย 50% และขยับขึ้นเรื่อยตามอาการ (ร้านนวดเราเป็น (EK) Enkeltmannsforetak จนเราได้sykmeld 100% จนถึงสิ้นปี2018 (รวมแล้ว 12 เดือนเต็ม)
…..สิ้นปีหมอส่งใบไปที่นาฟ เพื่ออัพเดทอาการเรา และทางนาฟให้เรา søk ขอ AAP (arbeidsavklaringspenger) เพราะดูแล้วยังไม่หายง่ายๆ นาฟจึงให้พักก่อน (โดยไม่ให้เครียดทั้งกายและใจ) เพราะพอร่างกายเราป่วยทำให้เราทำงานไม่เต็มที่และเป็นกังวลเรื่องรายได้ เรื่องร้าน ฯลฯ เราโชคดีที่ขอ AAP ผ่าน AAP มีสิทธิ์ได้ 3 ปี(ทางนาฟกล่าวตอนที่ประชุม) ซึ่งอยู่ที่แพทย์ และนาฟจะวินิจฉัย เราเคยบอกนาฟว่าให้ AAP 50% ได้ไหม เพราะอยากทำงานอีก 50% (งานอะไรก็ได้ แต่ใบประเมินของหมอนั้นไม่อนุญาตให้เราทำ)
….. เราไม่ทำเงินดำเลยทุกอย่างลงบัญชีหมด พอเราป่วยสวัสดิการที่ได้รับจากการเจ็บป่วยจากการดำเนินงานแบบเป็น EK นั้นจะเป็นท่อน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตเรา
….เราขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ที่อาจจะเป็นแนวคิดและเปลี่ยนทัศนคติให้กับหลายๆ ท่านคะ
…. AAP ที่เราได้หลังหักภาษีแล้ว 18xxx/ต่อเดือนค่ะ เขาคิดจากภาษี 3 ปีย้อนหลัง ดังนั้นการยื่นขอเสียภาษีรายได้จึงสำคัญมากๆ ยามเราเจ็บป่วยเงินตัวนี้จะได้น้อยหรือมากมันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเราเอง บวกกับเราได้ค่าเลี้ยงดูบุตรต่ำกว่า 18 และได้คะ barnetrygd ดังนั้น มันเกินเดือนละ 2 หมื่นหลังหักภาษี ตอนนี้เราได้พัก ได้วาดรูป ได้มีเวลากับครอบครัวแม้จะป่วย แต่การเจ็บป่วยเป็นวัฏจักรของชีวิต ทุกคนหนีไม่พ้น แต่อยู่ที่ว่าเราวางแผนอย่างไรในยามที่เราไปทำงานไม่ไหว?
……งานอดิเรกที่ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงแม้จะได้เงินจาก AAP เราก็มีสิทธ์ิในการมีส่วนร่วมในสังคม คนป่วยไม่ได้หมายความว่าเราหมดสมรรถภาพ NAVให้เราเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมต่างๆได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ โดยก่อนหน้านั้น(2016) เราได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกการเมืองพรรคหนึ่งในMoss คอมมูนน่า เพราะชอบการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ (เราคิดว่าการมีกิจการแม้จะเล็กๆ แต่สิ่งรอบตัวนั้นคือปัจจัยสำคัญต่อการทำธุรกิจหรือแม้แต่จะขยายธุรกิจ ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจในเมืองที่เราอาศัยอยู่มีผลต่อกำลังซื้อกำลังซื้อ นโยบายการเมืองมีผลต่องบประมาณขององค์กรต่างๆ) อย่างที่เคยเล่าไว้ตอนต้นโพส์เราเรามีสัญญานวดตามองค์กรทั้งของรัฐและเอกชน
….. ดังนั้นสำคัญสำหรับเรามากที่จะต้องรู้ว่า การพัฒนาจะไปแนวทางใด มันมีผลต่อลูกค้า รายได้ร้านและการวางแผนการตลาด
…..จริง ๆ ปีนี้เราตั้งใจว่าจะขอพักเรื่องการเมืองไว้ก่อน แต่เราก็ได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกพรรคให้มีชื่ออยู่ในบัญชีลงเลือกตั้งของคอมมูนปีนี้ด้วย
……ซึ่งคอมมูนจะส่งหนังสือมาให้หลัง 30 วัน ให้เราเซ็นว่าจะลงหรือไม่ พอเราส่งไปเขาจะประกาศออกมา เราเองก็ไม่คิดว่าผู้ใหญ่ในพรรคและสมาชิกพรรคจะลงชื่อให้เรา (แฟนเราบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สมาชิกทุกคนจะมีรายชื่อในบัญชีเลือกตั้ง) ซึ่งการได้รับโอกาสนี้ก็ทำให้เราได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ข้อมูลข่าวสาร ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ที่แตกต่างออกไปอีกมุมคะ😊
…..ในทัศนคติของเรา เรามองการเมืองที่นี่เป็นสิ่งใกล้ตัว เพราะเราจะได้เรียนรู้ ได้สังคม ได้เนตเวิร์ก ได้เห็นโอกาส ได้เห็นความสามัคคีและเห็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และที่สำคัญได้ให้สิ่งตอบแทนกับสังคมที่เราได้อาศัยอยู่ ได้เป็นอีกตัวแทนหนึ่งที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสะใภ้ไทยที่นี่
….สิ่งสำคัญที่สุดคือกำลังใจจากคนในหมู่เหล่าของพวกเราเองคะ