การไปเที่ยวอเมริกาของเราสองคนในครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักคือ การไปเที่ยวในอุทยานแห่งชาติที่ใดที่หนึ่งในอเมริกา ส่วนฉันต้องการไปลงเรือสำราญ อันเป็นข้อโต้เถียงสำหรับฉันและคนใกล้ตัวมาหลายปีแล้ว เพราะคุณเธอไม่ยอมลงเรือสำราญกับฉันเสียที บอกว่าไม่ชอบวิถีชีวิตการท่องเที่ยวแบบนั้น มิใยที่จะพูดจาชักชวนอย่างไรก็ตาม อีกอย่างหนึ่ง การไปเดินทางไปอเมริกาครั้งล่าสุดด้วยกัน มันก็ ๑๖ ปีมาแล้ว (ปี ค.ศ. ๒๐๐๑) ก็ตอนที่ตึก World Trade ถล่มที่นิวยอร์คนั่นแหล่ะ เราไปเดือนมิถุนายน ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน
ครั้งนี้เลยตกลงกันว่า เอาละ ฉันยินดีที่จะไปแคมปิ้งกับคุณ แต่คุณต้องลงเรือกับฉันนะ เมื่อตกลงกันได้ ฉันก็ติดต่อแม่กุลเพื่อนรักให้จัดทริปให้หน่อยว่ามันจะลงตัวไหม ก็มาลงตัวที่ Zion Park รัฐยูท่าห์ และไปลงเรือสำราญห้าวัน-สี่คืนเพื่อไปเม็กซิโก เมื่อจัดการจองที่พักจองเรือกันแล้ว เราก็ออกเดินทางกันในต้นเดือนกันยายนทันที เพราะอากาศไม่ร้อนไม่หนาว
เมื่อไปถึงแอลเอหรือลอส แองเจลิส พาคนข้างตัวเที่ยวแอลเอสักสองสามวัน ก็ออกเดินทางกัน เราวางแผนไว้ว่า เราจะไปทัวร์แบบนอนกลางดินกินกลางทรายเสียก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวสบายทีหลัง
กุลจัดการเช่ารถคันใหญ่ เพื่อขนของทั้งหมด ทั้งเต็นท์และอาหารการกิน เมื่อได้ฤกษ์ขับรถออกจากแอลเอ เราไปลาส เวกัสกันก่อน เพราะเป็นทางผ่าน เราจะนอนค้างที่นี่ทั้งขาไปและขากลับ
ลาส เวกัส ก็เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ราคาโรงแรมแพงขึ้นมาก บวกค่า Resort Fee ซึ่งก็ขึ้นราคาไปอีก ที่จอดรถยังต้องเสียค่าจอด (บางโรงแรม) ขนาดเราไม่ได้ไปพักในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เรายังต้องจ่ายคืนละร้อยกว่าเหรียญ (เมื่อก่อนจ่ายไม่ถึงร้อยเหรียญได้ นอนโรงแรมอย่างดี)
เครื่องเล่นโปรดของฉันคือ Slot Maschine ก็พลอยขึ้นราคาไปด้วย ที่จริงไม่ได้เรียกว่าขึ้นราคา แต่มีลูกเล่นให้เราต้องจ่ายเพิ่ม หมดไปยี่สิบเหรียญ ไม่ได้อะไรสักแดง เลยถอยออกมา ไปเที่ยวชมเมืองดีกว่า
เช้าตรู่วันต่อมา เราเตรียมตัวออกเดินทาง เราต้องขับรถไปอีกประมาณสามชั่วโมง (ลาส เวกัสอยู่ในรัฐเนวาด้า) แตะผ่านรัฐอาริโซน่านิดหนึ่ง ก็เข้ารัฐยูท่าห์ ตลอดทางที่ขับรถผ่านก็จะเห็นแต่ทะเลทราย ภูเขาหินสีแดง บางช่วงก็ขับผ่านเมืองทั้งเล็กและใหญ่
มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติ ตั้งบ้านเรือนในเขตทะเลทรายได้ เหมือนบ้านเรือนในลาส เวกัส ที่มองไปทางไหนก็เห็นสีน้ำตาลแดง ๆ ดูแห้งแล้ง ถึงแม้จะมีการปลูกต้นไม้ไว้ก็เถอะ ไม่ต้องห่วงถึงสตริป (Strip) ที่เป็นแหล่งคาสิโน ได้ถูกตกแต่งอย่างมโหฬารตระการตาไปหมด ถึงแม้จะดูยิ่งใหญ่เพียงไหน มันก็เต็มไปด้วยตึกที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
เมื่อเราเข้าเขตวนอุทยาน เราจะมองเห็นภูเขาหินที่บางแห่งสีขาว บางแห่งสีแดง และสีเขียวของต้นไม้ เพราะเราอยู่ด้านล่างของหุบเขา เราขับผ่านเมืองเล็ก ๆ ที่มีทุกอย่าง อย่างที่พึงมี แม้แต่กระทั่งร้านอาหารไทย เราขับรถไปจอดตึกที่ทำการและติดต่อสอบถาม ได้รายละเอียดมาหลายอย่าง เราต้องขับผ่านประตูเข้าที่เข้าไปตั้งแคมป์ มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับแผนที่ เราจ่ายเงินจองที่พักมาเรียบร้อยก่อนมาแล้ว จองล่วงหน้าสี่ห้าเดือนแน่ะ
บริเวณแค้มป์กราวด์แบ่งออกเป็นหลายโซน สำหรับพวกที่เอารถบ้านมา หรือพวกมาตั้งเต๊นท์อย่างเรา ที่ตั้งแคมป์ของเรากว้างขวางพอสำหรับกางได้สองเต็นท์สบาย ๆ พร้อมที่จอดรถ มีที่ก่อไฟและที่ปิ้งย่างด้วย แต่ต้องซื้อหาฟืนมาเอง ห้องน้ำก็อยู่ไม่ไกล อ้อ ลืมบอกไปว่า กุลบอกมา ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำ!!!!!
ฉันไม่อยากจะเชื่อ นี่เราจะซักแห้งสามวันเชียวเหรอ
ห้องส้วมแบ่งเป็นห้องชายหญิง และมีห้องสำหรับคนพิการที่ใหญ่โต พร้อมมีอ่างล้างมืออยู่ข้างใน ฉันใช้ห้องน้ำนี่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ โดยใช้การเช็ดตัว มันไม่มีเหงื่อ จึงทำให้รู้สึกว่าไม่เหนอะหนะสกปรก จริง ๆ เขามีห้องอาบน้ำอยู่ข้างนอกแค้มป์ด้วย (เสียเงิน) แต่ฉันกับกุลขี้เกียจไป เอาน่า ไม่น้ำอาบแค่สามวันเอง
มองจากเต็นท์ของเราที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสีสวย ไม่ว่ามุมไหนก็สวยงามไปหมด ในวันรุ่งขึ้น เรายังเห็นกวางเดินเข้าในแคมป์กราวด์ด้วย เย็นนั้นเราก่อไฟ ปิ้งไส้กรอกที่เราหอบหิ้วมาจากแอลเอ (ใส่กล่องเก็บความเย็น) พร้อมสลัด เฮ้อ อร่อยทั้งบรรยากาศและอาหาร
คืนนั้นเป็นคืนแรกในรอบยี่สิบห้าปีที่นอนในเต็นท์ กุลซื้อที่นอนเป่าลมอย่างหนาตราช้าง ไม่ใช่แผ่นรองแบน ๆ อย่างที่เคยเห็น นอนหลับสบาย ตอนดึกตื่นไปห้องน้ำ เห็นดาวเต็มท้องฟ้า
Zion park หรือชื่อเดิมเรียกว่า Mukuntuweap National Momument เนื่องจากชื่อเดิมไม่เป็นที่นิยมเรียก ส่วนชื่อ Zion เป็นภาษาฮีบรูโบราณ แปลว่า ที่หลบภัย
Zion Park อยู่ระหว่างที่ราบสูงโคโลราโดและทะเลทราย Mojave มีพื้นที่ ๕๙๓ ตารางกิโลเมตร มีความหลากหลายในหลายพื้นที่ทั้งเป็นส่วนทะเลทราย หุบเขา ป่าสน เขตพืชพันธ์สัตว์ป่า โดยเฉพาะที่นี่มีสิงโตภูเขา (ไม่ต้องกลัว มันไม่เข้าใกล้คน) แร้งชนิดต่าง ๆ นกอินทรีย์ที่แทบจะสูญพันธ์ (ช่วงที่พักค้างคืน ได้เห็นนกอินทรีย์สองสามตัว มันบินไม่สูงมาก) ใกล้ ๆ กันยังมีส่วนที่เป็นวนอุทยานอื่น ๆ อีก
การไปเที่ยวชมในวนอุทยาน ห้ามนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไป แต่ให้นั่งรถเมล์ของวนอุทยานเข้าไป รถจะวิ่งรับส่งผู้โดยสารตลอดเวลา ทั้งหมดสิบสถานีให้เราไปได้ชม เดินหรือไปเทรกกิ้งไกล ๆ ทุกแห่งจะบอกถึงความยากง่ายของการเดินพร้อม ระยะทาง บางแห่งเดินแค่สามสิบนาที บางแห่งสามชั่วโมง บางแห่งเจ็ดหรือแปดชั่วโมง
เราเลือกลงป้ายสุดท้าย เจมส์และคนใกล้ตัวจะเดินลุยลำธารไปดู Narrow อันมีชื่อเสียง Narrow คือบริเวณที่เขาหินสองฝั่งแม่น้ำ (ที่เหมือนลำธาร) เกือบจะมาชนกัน ทำให้เกิดคำว่า “ช่องแคบ” เห็นเงาของภูเขาหิน ความสวยงามของถ้ำในช่วงที่แคบที่สุด
แต่ก่อนที่จะถึงการเดินไปดูช่องแคบ จะต้องเดินไปประมาณสองกิโลเมตร บนทางเดินที่ทำไว้อย่างดี เลียบลำธารและภูเขา เราสี่คนเดินไปจนสุดทางเดิน สองสาวอย่างเราก็เสียสละให้บุรุษหนุ่มทั้งสองเดินต่อไป
การเดินไปถึง Narrow นั้น ต้องเดินเลียบลำธารไป บางครั้งก็ต้องเดินข้ามน้ำไปมาทั้งสองฝั่ง เจ้าหน้าที่จะเตือนว่า ในช่วงระยะเวลาไหนที่ไม่ควรเดิน เพราะอาจจะมีน้ำป่าเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่มีฝนตก ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยนะ เจ้าหน้าที่สาวสวยบอก
หนุ่ม ๆ บอกว่าให้เรากลับไปก่อน ให้เราไปเจอกันกลางทาง ป้ายที่มีรีสอร์ตและร้านอาหาร เรานั่งรถกลับมารอที่นั่น สามชั่วโมงผ่านไป สองบุรุษจึงได้กลับมา อย่างม่อลอกม่อแลก บอกว่าสวย แต่เหนื่อย เพราะการเดินในน้ำโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน (เช่น รองเท้าที่เหมาะสม หรือมีไม้เท้า อย่างที่เราเห็นหลาย ๆ คนเขาเตรียมมา) นั้นไม่ง่ายเลย
เรานั่งมองภูเขารอบ ๆ ตัว ต้นไม้ใหญ่ที่อาจจะมีอายุเป็นร้อย ๆ ปี สถานที่นี้มีโรงแรมให้พักด้วย แต่ราคาคงสูงมาก มีร้านอาหารแบบช่วยตัวเอง สั่งแล้วไปยกมาเอง ถึงแม้คนจะเยอะมาก แต่ก็ยังไม่คับแคบ เพราะความกว้างของสถานที่ อากาศกำลังสบาย ลมพัดมาเย็น ๆ ฉันคิดถึงที่ไร ก็อยากกลับไปอีก
ขากลับ เราไม่แวะที่ไหน แต่กลับไปที่แค้มป์ของเราเลย เพราะคืนนี้เราจะไปฟังเจ้าหน้าที่วนอุทยานเล่าประวัติความเป็นมาของ Zion Park ให้ฟัง เย็นนั้น เราแวะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเกตในเมืองก่อนถึงวนอุทยาน ซื้อสเต็กมาทำอาหารมื้อเย็น พร้อมกับเบียร์อีกหลายขวด ก่อนสองทุ่ม เราเดินฝ่าความมืดไปที่ Information Center เพื่อฟังการบรรยาย
คืนนั้นมีเสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกล ๆ เราจึงรีบเข้านอน ฉันนึกกลัวว่าถ้าฝนตกมาก ๆ น้ำท่วมเต็นท์แล้วจะทำยังไง เจมส์บอกว่าก็เปียกน่ะสิ ฮ่า ตอนดึกฉันตื่นมาด้วยเสียงฟ้าผ่า ฟ้าแลบ เห็นสายไฟวิ่งอยู่บนท้องฟ้า ทั้งน่ากลัวและน่าดู ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่มีรอยฝนแม้แต่หยดเดียว
เช้านั้น เราจะไปแวะเที่ยวและเดินที่อื่น ๆ กันอื่น เราคงไม่ได้แวะเดินเที่ยวไปทุกป้ายที่รถจอด แต่เลือกดูเส้นทางเดิน หรือ เทรลที่ง่าย ๆ เดินสะดวก เราไปดู หินร้องไห้ หรือ Weeping Rock ไปดู Watchman trail ไป The Grotto และ Emerald Pool
จุดที่เราเลือกไปดูนั้นเดินไม่ยาก และไม่เกินสามสี่กิโลเมตร บางที่ก็ค่อนข้างชัน บางที่ ก็เดินขึ้นเขานิดหน่อย ที่นี่มีให้ปีนเขา (hiking) เขาแนะนำว่าเหมาะสำหรับผู้มีประสบการณ์ในการไต่เขา (ไม่บอก เราก็ไม่ปีน ฮ่า) มีการเช่าม้าเดินขึ้นเขาหรือการล่องเรือในลำธาร แต่เราไม่มีเวลานานขนาดนั้น (ก็ว่ากันไป) สรุป อะไรที่ลำบาก เราไม่ไป แค่มองภูเขาที่สวยงาม เราก็สุขใจ เย็นนั้นเราแวะเข้าพิพิธภัณฑ์ Zion ก่อนกลับที่พักเป็นการส่งท้าย
คืนนั้นฝนตกส่งท้าย ตก ๆ หยุด ๆ เรายังวิตกว่าถ้าตกตอนเราเก็บเต็นท์ในตอนเช้า คงลำบากพิลึก แต่ตอนเราตื่นมาเก็บเต็นท์ ฝนกลับไม่ตก มาตกตอนเราออกรถพอดี นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ฉันเห็นฝนตกในแถบทะเลทราย (เคยเห็นครั้งแรกตอนขับรถกลับจากไปแกรนด์ แคนย่อน)
เรากลับมาค้างที่ ลาส เวกัส ไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านไทย อร่อย ราคาไม่แพง คืนนั้น เราไปเที่ยวดูไฟที่ดาวน์ทาวน์ ลาส เวกัส ที่ปรับปรุงใหม่ น่าดูกว่าเดิม นักท่องเที่ยวเยอะพอดู
ถึงเวลาลงเรือ ไปหาความสำราญตามชื่อ เรามาขึ้นเรือที่เมืองลองบีช (เมืองที่คุณอภัสรา มาประกวดนางงามจักรวาล) ก่อนขึ้นเรือ ยกกระเป๋าให้พนักงานเอาไปขึ้นเรือก่อนไปเช็คอิน (เราได้เบอร์ห้องพักมาตั้งแต่ตอนจองแล้ว) กระเป๋ารออยู่หน้าห้องพักแล้วเมื่อเราขึ้นเรือไปที่ห้อง
เรือใหญ่โตแบบเรือสำราญที่ควรจะเป็น ถึงแม้จะเก่าไปบ้าง แต่ไม่ขี้เหร่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ห้องเสริมสวย ห้องออกกำลังกาย กาสิโน ห้องคาราโอเกะ ผับ โรงละครที่มีโชว์ทุกคืน รายการน่าตื่นตาตื่นใจ จิปาถะให้เลือกหาความสำราญ
เรือแวะจุดแรก คือ เกาะ Santa Catalina มีเมืองชื่อ Avalon มีประชากรแค่สี่พันกว่าคน ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา (แต่เดิมเป็นของประเทศเม็กซิโก) มีขนาดความยาว ๓๕ กิโลเมตร ความกว้าง ๓๕ กิโลเมตร ประกอบไปด้วยภูเขาหินแทบทั้งสิ้น มีชายหาดสวยงาม
ในตัวเมืองประกอบด้วยร้านค้าและโรงแรม ในเมืองไม่อนุญาตให้มีรถส่วนตัวขับ ส่วนใหญ่ใช้รถกอล์ฟ ถ้าอยากมีรถส่วนตัวจะต้องขอใบอนุญาตที่ใช้เวลารอถึง ๒๐ ปี แต่ถ้าใครมีรถแล้วเกิดเจ้าของเสียชีวิต หรือย้ายออกจากเกาะ ก็สามารถขอเป็นเจ้าของได้ต่อไป
ความคิดอย่างนี้ก็ดีนะ ทำให้ไม่เกิดมลพิษ และไม่แออัด เดินเหินได้อย่างปลอดภัย กุลบอกว่าเคยมาดำน้ำที่เกาะนี้ พอนักท่องเที่ยวขึ้นเรือไปหมด เหมือนเมืองร้างเลย เพราะพอหกโมงเย็นก็เงียบแล้ว
เราซื้อทัวร์ชมเมือง ขับโดยคุณยายวัยแปดสิบ อ่านไม่ผิดค่ะท่าน คุณยายอายุแปดสิบ ขับรถคล่อง ขับไป พูดบรรยายไป ใครไม่ฟังโดนดุด้วย คุณยายบอกว่า สิ้นปีจะเลิกขับแล้ว เพราะลูกสาวอยากให้อยู่บ้าน
พอตอนบ่าย เราก็นั่งเรือเล็กกลับไปยังเรือใหญ่ เย็นนั้นต้องไปกินข้าวกับกัปตัน(ใครเป็นคนต้นคิดนะ) ไม่เห็นแม้แต่เงาศีรษะของกัปตันเรือ พวกพนักงานบริการก็มาเต้นระบำให้พวกเราดู พนักงานทั้งลำเป็นต่างชาติทั้งหมด เจอคนไทยอยู่สองสามคน ผู้ชายคนไทยอายุก็น่าจะกว่าสี่สิบแล้ว เป็นคนไทยที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียนี่เอง เด็กสาว ๆ สองสามคน น่าจะเป็นเด็กฝึกงานจากเมืองไทย
วันที่สาม เราก็มาถึงเมือง Ensenada ของเม็กซิโก รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบประเทศนี้ ถึงแม้จะไม่กี่ชั่วโมงก็ตามที วันนี้เรือมาจอดเทียบท่า ไม่ต้องต่อเรือเล็กเหมือนเมื่อวาน เราเลือกซื้อทัวร์ไปชมโรงงานผลิตไวน์ ค่าทัวร์ค่อนข้างแพง คนละ ๕๐ เหรียญสหรัฐ นั่งรถชมเมืองกันไปเป็นเวลากว่าชั่วโมงถึงที่หมายนอกเมือง
ไม่เคยคิดว่าเม็กซิโกจะผลิตไวน์ แต่เขาอธิบายว่าผลิตที่นี่ แต่ไปบรรจุที่เมืองอื่น แปลกดี เราได้ชิมไวน์ไปหลายชนิด (รวมในราคาทัวร์) แถมเขาแจกไวน์ให้อีกคนละขวดก่อนกลับ แวะไปโรงงานแบบชาวบ้านจำพวกไวน์ organic ที่นี่มีอาหารให้กิน แถมบรรยากาศแบบบ้าน ๆ ที่สำคัญมีหมอนวดด้วย จริง ๆ มีเก้าอี้แบบก้มหน้านวด ๑๐ นาที ห้าเหรียญ ฉันเลยสอยไปเสียยี่สิบนาที สบายไป คนนวดเป็นสาวชาวบ้านแถวนั้น น่ารักดี ฉันซื้อแยมส้มผสมพริก รสชาติแปลกดี ทั้งหวานและเผ็ด (มาก)
ขากลับผ่านเข้าตัวเมือง ไกด์บอกว่าเมืองนี้ใหญ่เป็นอันดับสามของเม็กซิโก อยู่ในรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย(ดูบรรยากาศในเมือง เหมือนอยู่ในแถบเมืองแอลเอเลย)
เรากลับมาขึ้นเรือ แต่ต้องเอาไวน์ไปฝากไว้ข้างล่าง เขาห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในเรือ (ก็เขาจะขายเครื่องดื่มของเราให้เรา) ในเรือ ถ้าจ่ายวันละ ๕๐ เหรียญ All you can drink ที่จริงพวกค็อกเทลก็แก้วละสิบเหรียญแล้ว ใครเป็นนักดื่มตัวยงก็คุ้มนะ
รุ่งเช้าเป็น Fun at Sea อยู่บนเรือทั้งวัน มีอะไรสนุก ๆ ให้ทำ ทั้งเล่นกีฬา เล่นเกมที่เจ้าหน้าที่หาเรื่องสนุก ๆ มาให้ทำแถวบริเวณสระว่ายน้ำ พับผ้าขนหนูให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ร้องคาราโอเกะ เยอะแยะ ฉันกับหนุ่ม ๆ ไปเล่นมินิกอล์ฟและตีปิงปอง ส่วนแม่กุลเมาเรือ นอนอยู่ในห้องทั้งวัน
เราอิ่มอกอิ่มใจกับการเดินทางบนเรือสำราญที่มีราคาไม่แพงมาก ใช้เวลาไม่นาน ยังไม่ทันเบื่อ ผู้คนในเรือก็เป็นคนธรรมดา ไม่มีเศรษฐีมาอวดรวยกันที่นี่ เพราะราคาเรือไม่ได้แพงมหาโหดอีกต่อไป ห้องพักก็สามารถเลือกพักได้ตามความพร้อมของกระเป๋าตังค์ เราเลือกห้องมีหน้าต่างแต่ไม่มีระเบียง ห้องพักสะอาดสะอ้าน ห้องน้ำก็ได้มาตรฐาน ไม่มีอะไรจะบ่น
จะมาเสียอารมณ์ตอนไปจ่ายเงินส่วนเกิน เช่น ค่าเครื่องดื่ม เจอพนักงานชายชาวฟิลิปปินส์ ไม่รู้ไปทะเลาะกับแฟนมาจากไหน หน้าหงิก และพูดจาไม่ถูกหู แต่ฉันไม่อยากใส่ใจ เพราะจะลงจากเรืออยู่แล้ว ปล่อยไป (แต่กุลไม่ปล่อย เขียนใบประเมินพนักงานส่งให้กับเรือ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นไงบ้าง ฮ่า)
เดี๋ยวนี้ค่าทิปพนักงาน เขารวมไปกับค่าเรือไปเลย แต่ถ้าเราอยากจะจ่ายเพิ่มก็จ่ายไป เราทิปพนักงานเสริฟที่เสริฟอาหารเรามาสี่คืน เพราะชอบการบริการของเขา อาหารเย็นอร่อยทุกมื้อ และมีให้กินที่ห้องอาหารข้างสระว่ายน้ำ ตั้งแต่เช้ายันค่ำยันดึก
ใครไปลงเรือสำราญและชอบดื่มชอบกินละก้อ มีให้กินทั้งวันแบบไม่อั้น จนต้องต้องร้องเพลง “ไม่อ้วนล่ะเอาเท่าไร” กันเลยทีเดียว…… สารสตรี
Photo credit: Zion National Park, USA by Mother Nature Network