สวนอัจฉรากับเป็ด

โลกส่วนตัวของเรามีอาณาเขตราว ๆ 15 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยขอบซีเมนต์ที่ก่อขึ้นมาด้วยความสูงสักห้านิ้ว ยกระดับจากพื้นสนามหญ้า เราเรียกมันว่า สวน บางครั้งมันรกรุงรังไปด้วยวัชพืช แต่บางครั้งมันก็รกรุงรังไปด้วยดอกไม้สวย ๆ ที่แย่งกันเสนอหน้า อวดสีสันฉูดฉาดจนยากจะตัดใจถอนทิ้ง……สวนเราไม่มีระเบียบ ไม่มีหลักการ นึกอยากปลูกอะไรก็จะเอาไปจิ้ม ๆ แล้วรดน้ำพรวนดิน จึงเป็นที่ที่เดียวที่คนจะเห็นดอกมะลิขึ้นคู่กับกอข่า หรือดอกบานชื่นแซมกับต้นพริก ดอกอัญชันของเรามีเถาเลื้อยพร้อมไปกับมะระ และดอกกระเจี๊ยบแดงชูช่อออกดอกแข่งกับยอดชะอม…….

ในมุมนึงของโลกใบนี้ มีสระบัวขนาดเล็กที่เราปลูกดอกฝิ่นน้ำ ดอกเล็ก ๆ สีเหลืองลออ กับใบกลม ๆ คล้ายใบบัวขนาดเล็ก มีลูกอ๊อดนับร้อยตัว ยิ่งถ้าฝนตก จะมีฟองไข่กบลอยเป็นแพ มองเห็นเป็นจุด ๆ เหมือนเม็ดแมงลักใต้กองน้ำแข็งไส เวลาที่ไปถอนหญ้าพรวนดินใกล้อ่างบัวนี้ ต้องระวังไม่ใช้เสียมหรือจอบขุดดิน เพราะบ่อยครั้งที่เจอแม่กบฝังตัวเองอยู่ใต้อ่าง คิดว่าเป็นแม่กบที่รอเวลาออกไข่ เพราะตัวอ้วนใหญ่ ท้องกลม พอเจอกัน ด้วยความตกใจ ต่างคนก็ต่างสะดุ้งพร้อมกระโดดหนีเหมือนกัน

สวนเรามีตั๊กแตนเยอะ ตอนลูกยังเล็กอยู่ แม่ลูกจะนั่งมองตั๊กแตนกระโดดจากที่นึงไปอีกที่นึง สีเขียวที่กลมกลืนกับใบไม้ทำให้การตามดูตั๊กแตนเป็นเรื่องท้าทาย เวลาตั๊กแตนดีดตัวหนี มันเป็นเกมส์ที่แม่ลูกมักจะทายกันว่า จะดีดไปทางทิศไหน เกมส์ที่ไม่ต้องมีคำตอบ หรือผลแพ้ชนะ อีกชนิดนึงที่เราชอบมากคือตั๊กแตนตำข้าว เราสามารถมองและเล่นกับตั๊กแตนตำข้าวได้ทั้งวัน ตัวแบน ตาโปน ปีกใสสีเขียว เจ้าอารมณ์ขี้โมโห พอโมโหแล้วทำท่าเหมือนจะชกมวย โยกตัวเหมือนนักมวยที่พร้อมชก น่ารักจริง ยิ่งถ้าเป็นลูกตั๊กแตนตัวเล็ก ๆ ยิ่งน่ารัก ตัวเล็กขนาดมดแดง แต่ใจใหญ่ไม่กลัวใครเลย

ผีเสื้อกับดอกไม้มักมาคู่กัน ผีเสื้อบ้านเราก็เยอะ สีสวยสดบินว่อนไปทั่ว บางครั้งเจอสีฟ้าลายดำ บ่อยครั้งเป็นสีส้มลายน้ำตาล และบางทีก็มีสีม่วงอ่อนเรียบ ๆ แต่สวย แค่นั่งมองนิ่ง ๆ จนกว่าเค้าจะไป เราก็ลุกขึ้นไปทำอะไรต่อ และที่ขาดไม่ได้คือผึ้ง ซึ่งเยอะจริง ต้องคอยระวัง เพราะเบื่อเวลาโดนผึ้งต่อย แต่เราก็ยังชอบดูผึ้ง เวลาเช้าที่ผึ้งออกจากรัง เค้าจะมาตัวเปล่า แต่หลังจากได้ดูดเกสรดอกไม้สักสามสีดอก ตามขาเล็ก ๆ จะพอกไปด้วยเกสรน้ำหวานสีเหลือง แล้วเค้าก็บินกลับรัง ไม่รู้ว่าหากินแค่นี้พอ หรือกลับมาหาอาหารต่อ เพราะไม่เคยจำหน้าได้เลย…..

ในโลกใบนี้ เป็นที่พักใจเวลาเราเครียด เป็นที่ระบายความทุกข์ เป็นที่ ๆ ก่อความสุข เวลาที่ไม้ดอกออกผล เราจะรู้สึกดี มีความสุขเมื่อเห็นมะเขือเทศสุกสีแดงเป็นพวง ดอกอัญชันสีม่วงสด ดอกกระเจี๊ยบแดงสีเหลืองแซมแดง ดอกบานชื่นสีส้มสดที่ไม่เคยปลูกแต่พอถึงเวลาก็ขึ้น แล้วพอเปลอแป๊บเดียวก็ออกดอกสลอนไปทั่วสวน ดอกมะลิหอม ๆ ยิ่งปีนี้ปลูกมะเดื่อฝรั่ง (fig) ยิ่งชอบใจ เพราะเป็นต้นไม้ที่แปลกมาก ไม่มีดอก แต่มีลูกผุดออกมาจากกิ่ง พอลูกโตเกินขนาดหัวแม่มือจะมีกลิ่นหอมอบอวล ถ้าลูกเยอะกลิ่นหอมก็จะแรงไปไกล เรียกนกให้มาเฝ้ารอสุก คนกับนกต้องมารบรากันดูว่าใครจะชนะ ได้กินลูก Fig

ทีนี้ออกมานอกสวน แต่ยังอยู่หลังบ้าน ต้น paper bark ต้นใหญ่ที่ออกดอกสีขาวฟูฟ่องในเดือนพฤศจิกายน ยามหน้าร้อน (ซึ่งตรงข้ามกับฝั่งยุโรปจะเป็นหน้าหนาว) จะสังเกตเห็นเปลือกจักจั่นขึ้นตามต้น ก็เพิ่งรู้ว่าจักจั่นลอกคราบโดยการไต่ขึ้นต้นไม้ แล้วลอกคราบที่เป็นเปลือกใสเหมือนแก้วสีน้ำตาล บางทีนับได้เป็นสิบตัว แล้วพออากาศร้อนจัด แมงมุมสารพัดชนิดก็จะออกมาหากิน บางชนิดตัวใหญ่เท่าฝ่ามือ พอเริ่มมืดก็เริ่มชักใย การดูแมงมุมชักใยนี่เป็นอะไรที่เพลิดเพลินจริง ๆ ทุกวันเวลาเดิม แมงมุมตัวเดิมจะออกมาเริ่มชักใยโดยกระโดดจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง บางทีนับได้ห้ามุม เค้าจะขะมักเขม้นรีบชักใยเพื่อให้เสร็จก่อนมืดค่ำ เพราะอาหารเค้าคือแมลงต่าง ๆ จะเริ่มออกหากิน เห็นอย่างนี้แล้วเกรงใจไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ เกรงใจเค้า เพราะเค้าจะหยุดเวลาเราเข้าใกล้มาก ๆ แล้วพอรุ่งเช้า เค้าก็จะเก็บใยตัวเอง ไม่ปล่อยให้รกบ้านเรา แมงมุมพวกนี้ใยเหนียวมาก เพราะเคยเผลอ ลืมตัวลืมมองเดินฝ่าเข้าไป ใยแมงมุมติดหน้าติดผมเหมือนหมากฝรั่ง เอาออกลำบากมาก

ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามา ขอเน้นเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่ถูกใจ ส่วนที่ไม่ถูกใจคือไส้เดือนกิ้งกือหอยทากทั้งหลายขอไม่กล่าวถึง เพราะมันจะบั่นทอนความสุนทรีทางอารมณ์ในการอ่าน ยิ่งถ้าได้รู้ว่าเราทำอะไรกับสัตว์พวกนั้น ท่านอาจเห็นได้ว่าเราเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อน ผิดวิสัยคนรักต้นไม้ดอกไม้และธรรมชาติอันบริสุทธ์ จึงขอรักษาภาพลักษณ์ด้วยข้อเขียนแห่งความสุขเท่านั้น…… 🙂

เราเคยเลี้ยงไก่ แล้วเลยพบว่าไก่กับสวนผักไปกันไม่ได้ เพราะไก่ต้องคุ้ยเขี่ย คุ้ยไปทั่ว ปลูกอะไรไว้จะถูกทำลายจนย่อยยับ ถึงแม้จะล้อมรั้วเอาตาข่ายกั้นก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายถอดใจ หันมาปลูกต้นไม้ในกระถางแล้วก็ยกกระถางให้อยู่ในที่สูง ทีนี้ก็ลองเลี้ยงเป็ดบ้าง โดยซื้อลูกเป็ดอายุสองวันซึ่งกำลังน่ารักมาเลี้ยง โดยเอาใส่กล่องบุด้วยผ้าขนหนูเก่า ๆ แล้ววางไว้ในมุมห้องนั่งเล่น ลูกเป็ดนี่ปรับตัวเป็นสมาชิกของครอบครัวได้เร็วเกินคาด ตอนกลางวัน จะปล่อยให้เดินเล่นอยู่ในสวน โดยต้องคอยเฝ้ามองไม่ให้คลาดสายตาเพราะข้างบ้านมีแมว และบนฟ้ามีเหยี่ยว ถ้าจำเป็นต้องออกไปนอกบ้าน ก็จะเอาลูกเป็ดเข้าบ้านล็อคประตู ถึงเวลาทำอาหาร เป็ดก็จะเพ่นพ่านอยู่ในครัว คอยกินเศษผักที่หั่นจนเป็นฝอย กินเสร็จก็จะนั่งรอเด็ก ๆ มาเล่นด้วยจนถึงเวลาอาบน้ำ เด็ก ๆ จะอาบน้ำในอ่าง

นี่คือเวลาชุลมุนที่สุดเพราะลูกเป็ดจะพยายามอย่างยิ่งที่จะลงอ่างพร้อมคน จนเด็ก ๆ ขึ้นจากน้ำ ถึงจะเป็นเวลาที่เป็ดได้ลงน้ำ ไปดำผุดดำว่ายตามประสาเป็ด เสร็จแล้วมานั่งไซร้ขนหน้าเครื่องทำความร้อน (heater) น่ารักจริง ๆ แต่พอถึงเวลาที่เราจะอาบน้ำบ้าง เจ้านี่ก็เดินตามเข้าห้องน้ำ พอเปิดน้ำฝักบัวปรับอุณหภูมิจนอุ่นพอ กลายเป็นลูกเป็ดที่กระโดดเข้าห้องอาบน้ำก่อนคน เค้าจะยืนใต้ฝักบัว ชูคอขึ้นสูงกางปีกรอรับน้ำอุ่นหลับตาพริ้ม…เออเหอะ ความสุขของเป็ด เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเริ่มโตพอที่จะเอาไปไว้นอกบ้านได้

กลับเข้าสวนอีกรอบ ทุกตารางเมตรของพื้นที่ คือรายละเอียดของชีวิต ต้นไม้ทุกต้นคืออารมณ์ที่มันผสมผสานระหว่างความพอใจและความขัดเคือง ต้นไม้ที่บรรจงปลูกพร้อมความหวังที่จะเห็นดอกผล กับวัชพืชที่คอยจะแทรกขึ้นมาเพื่อแย่งชิงพื้นที่แย่งน้ำแย่งแม้กระทั่งแสงแดด เพราะในยามที่ชีวิตมีแต่ภาระหน้าที่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือรดน้ำต้นไม้เช้าเย็น แต่การที่จะเข้าไปดูแลถอนหญ้าพรวนดินต้องรอให้ถึงวันหยุดและมีเวลาจริง ๆ ช่วงเวลานี้ที่วัชพืชทั้งหลายจะชูยอดขึ้นสูง เหมือนท้าทายให้มากำจัดให้พ้นตา

เราไม่กินอาหารฝรั่ง แต่ติดอยู่กับอาหารไทย พืชสมุนไพรพวกข่าตะไคร้ใบมะกรูดจึงขาดไม่ได้ กว่าจะรู้วิธีปลูกพืชเหล่านี้จึงใช้เวลานานนับสิบปี เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า ข่าตะไคร้ไม่ชอบอยู่กับที่ ปลูกได้สักสองสามปีต้องแยกกอเอามาปลูกใหม่ ไม่งั้นเหง้าข่าจะแก่แกร็นและตะไคร้จะฝ่อ การทำสวนต้องใช้พลังมาก เริ่มจากเดือนตุลาเมื่ออากาศเริ่มอุ่น หญ้าที่ปล่อยให้คลุมดินเพื่อเก็บความชื้นให้ต้นไม้ที่อาจรอดชีวิตจากความหนาวจะเริ่มออกดอก จำเป็นต้องกำจัด แค่จะถางหญ้าก็เหนื่อยใจแล้ว เนื้อที่สิบห้าตารางเมตรกับหญ้าที่ขึ้นจนแน่น ต้องขุดต้องถอนต้องดึง ตรงนี้เป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุดเพราะดินที่ผ่านฤดูหนาวจะแข็งและแห้งมาก ถอนหญ้าหมดแล้วต้องพรวนดินแล้วเอาปุ๋ยที่หมักไว้มาผสม แล้วทิ้งไว้ให้ปุ๋ยกับดินเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน กว่าจะทำตรงนี้เสร็จ กล้ามขึ้นพอดี

แล้วทุกปีจะต้องทำแบบนี้ อันที่จริงปีนี้นึกเบื่อมาก… ว่าจะติดป้าย ‘คนทำสวนติดไลน์ หยุดหนึ่งปี’ แต่พอเห็นต้นไม้ที่รอให้รดน้ำพรวนดินก็อดใจไม่ได้สักที ช่วงเวลาที่จะปลูกต้นไม้ได้มีแค่สี่ห้าเดือน จึงมีความรู้สึกเหมือนตั้งนาฬิกาถอยหลัง ยิ่งล่าช้า เวลาที่จะชื่นชมกับผลผลิตจะน้อยลง ให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลาทำให้ได้

การสรรหาพืชผักไทย ๆ มาปลูกเป็นสิ่งท้าทายที่เราสนุกกับมันมาก เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ลูกยังเล็ก ช่วงนั้นจะไม่ค่อยได้กลับเมืองไทย เป็นช่วงที่โหยหาอาหารไทยมากมายหลายอย่าง ข้าวหลามเป็นอาหารสุดโปรดที่กินได้ไม่มีวันเบื่อ วิธีทำข้าวหลามไม่ยาก แต่ปัญหาคือต้องหากระบอกไม้ไผ่ จะไปหาได้ที่ไหนล่ะ ในเมื่อเมืองนี้ไม่มีใครปลูกไผ่ เราก็ต้องหา…..

เริ่มจากค้นหาร้านต้นไม้ทางอินเตอร์เน็ต สุดท้ายก็ได้หน่อไผ่ขนาดเล็ก ส่งทางไปรษณีย์มาจากต่างรัฐ กว่าจะได้มาก็หมดฤดูร้อน ต้องรอเป็นปีกว่าจะฟื้นตัว เฝ้ารอรดน้ำพรวนดินใช้เวลาสิริรวมสี่ปี กว่าไผ่จะตั้งกอมีหน่ออ่อนมาให้กิน ถึงเวลาที่ปล้องไผ่เติบโตได้ขนาดทำข้าวหลาม ได้เวลากลับเมืองไทยพอดี เพื่อนพาไปกินข้าวที่เขาสามมุกแล้วเลยแวะหนองมนได้กินข้าวหลามสมใจอยาก สรุปว่าลงทุนลงแรงสี่ห้าปีปลูกไผ่เพื่อทำข้าวหลามล้มเหลว แต่กอไผ่ตั้งกอได้อย่างสวยงาม เวลาลมพัดได้ฟังเสียงไผ่เสียดสี มันก็ได้อารมณ์ลูกทุ่งดีเหมือนกัน ใบไผ่ที่ทับถมกันกลายเป็นปุ๋ยชั้นดี แถมหน่อไม้อ่อนก็เอามาทำแกงจืดได้อร่อยลืมอ้วนไปเลย

แต่ปัญหาของการปลูกไผ่คือถ้าไม่หมั่นขุดหน่อออกมา มันจะแตกหน่อออกมาแล้วลามไปทั่ว ขยายขนาดของกอจนเกินควบคุม ช่วงนั้นทำงานเยอะมากด้วย แทบจะหาวันหยุดไม่ได้ ไม่มีเวลาดูแล สุดท้ายเลยตัดสินใจทำลายกอไผ่ กลายเป็นโครงการระดับยักษ์ใหญ่ที่ต้องใช้เวลามาก ถ้าจ้างคนมาทำก็ต้องใช้เงินเป็นพันเหรียญ คนขี้เหนียวอย่างเราเลยเลือกที่จะทำมันด้วยตัวเอง เลื่อยไผ่ทีละต้น ๆ พอเลื่อยเสร็จ ก็เอาแปรงจุ่มยาฆ่าหญ้ามาทาที่รอยเลื่อย ตัดแขนงเล็ก ๆ ออกแล้วทาด้วยน้ำยา หน่อไผ่ที่ผุดขึ้นมาต้องถอนแล้วเอาแปรงทาน้ำยา ทั้งหมดทั้งปวงใช้เวลาสองปีในการทำลาย กับสี่ปีในการปลูก….เข็ดจนตาย หายอยากกินข้าวหลามไปเลย!!!!!!!!

ที่ตลาดคนเอเชียในมุมหนึ่งของซิดนีย์จะมีผลไม้เอเชียสารพัดชนิดขายในราคามหาโหด เรากัดฟันซื้อขนุนชิ้นเล็ก ๆ มาเพื่อจะเอาเม็ดขนุนมาเพาะ ซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้เพื่อที่จะเพาะเมล็ด ทุกอย่างประสบความสำเร็จ เป็นความภาคภูมิใจเกือบสูงสุดที่มีต้นขนุนและมะม่วงอยู่ในสวน ตื่นนอนตอนเช้าทุกวันจะไปดูต้นขนุนก่อนอื่น ยิ่งเวลาเห็นขนุนออกลูก ดีใจจนแทบกระโดดจนตัวลอย แต่ดีใจไม่นานใจก็แฟบเมื่อขนุนลูกเท่าหัวแม่โป้งร่วงลงพื้น ปลอบใจตัวเองว่า ต้นอาจจะยังอ่อนไป รอปีหน้าอาจจะได้กิน แล้วก็เข้ารอยเดิม คือออกลูกมาให้ใจพอง ไม่กี่อาทิตย์ก็ร่วง จนสามปี ขนุนต้นนี้ตัดสินใจยืนตายให้เราเศร้าซะงั้น แต่ก็พอจะทำใจได้เพราะรู้ว่าไม่เคยมีใครปลูกขนุนได้ในพื้นที่อุณหภูมิต่ำกว่ายี่สิบองศา

ไม่เป็นไร มะม่วงน้ำดอกไม้กำลังติดดอก ถ้านกกระตั้วไม่มาจิกทึ้งตรงช่อดอกเวลาเราเผลอ เราจะมีมะม่วงกิน เฝ้ารอลุ้นให้ติดลูก สุดท้าย ปีแรกติดมาลูกนึง ปีที่สองติดสามลูกและปีที่สามติดสิบสองลูก เป็นความสุขอย่างล้นเหลือ ถึงแม้ว่ามะม่วงน้ำดอกไม้จะกลายเป็นมะม่วงอะไรไม่รู้ที่ลูกอ้วนรูปทรงกำปั้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกือบครึ่งกิโล เมล็ดบางเนื้อหนาหวานอร่อย ในปีที่มะม่วงติดสิบกว่าลูก เราเฝ้าหวังว่าจะได้กินมะม่วงก่อนเดินทาง เพราะซื้อตั๋วไปเที่ยวมาเลย์สองอาทิตย์ ในระหว่างที่เที่ยวมาเลย์อย่างสนุกสนาน พอดีมะม่วงสุก แล้วพายุลง มะม่วงทั้งหมดโดนพายุกระหน่ำร่วงหมด ลูกสาวเก็บใส่ตู้เย็นไว้ให้แม่ ทันกลับมาดูใจก่อนเน่า พร้อมกับต้นมะม่วงค่อย ๆ เน่าตายเพราะน้ำฝนท่วมราก ปิดฉากความหวังที่จะมีต้นมะม่วงต้นขนุนเพื่อประกาศความเป็นไทย…

อันที่จริง ที่ตายไปพร้อมมะม่วง ขนุน ก็คือมะละกอ ซึ่งปลูกมาห้าหกปี ปลูกเพื่อท้าทายตัวเองเพราะมะละกอปลูกยาก เคยพยายามปลูกมาเป็นสิบครั้งไม่เคยรอด แต่ต้นนี้รอดมาได้อย่างน่าแปลกใจ มะละกอฝรั่งที่นี่จะไม่เรียก papaya แต่จะเรียกว่า pawpaw เนื้อมีสีเหลืองเมื่อสุก รสไม่หวาน แถมมีรสขมไม่อร่อย แต่มะละกอดิบทำส้มตำได้ แกงส้มได้ จึงปลูกไว้แจกเพื่อนคนไทยที่แวะเวียนผ่านมา มะละกอต้นนี้มีลูกเต็มต้น แม้ในฤดูหนาวก็ยังมีลูกคาต้นเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่ละปี ต้นจะสูงขึ้น จนต้องใช้ไม้สอย ในท่าแหงนคอตั้งบ่า นี่ถ้าไม่ตายซะก่อน อาจสูงจนสอยไม่ถึงก็ได้

ใกล้บ้านมีต้นหม่อนต้นใหญ่ ลูก ๆ ชอบไปเก็บลูกหม่อน เราก็ชอบกินลูกหม่อน ระหว่างเก็บลูกหม่อนก็จะส่องหาหนอนตัวไหม ใคร ๆ ก็รู้ว่าไหมกินใบหม่อน เลยคิดว่าคงจะหาหนอนไหมตามต้นหม่อนได้ แต่หามาหลายครั้งก็ไม่เคยเจอ จนนึกอยากเลี้ยงไหม เลยไปหาซื้อหนอนไหมมาเลี้ยง หนอนตัวเล็ก สีขาว ความยาวราว 1 เซ็นต์ ได้มายี่สิบตัว ใส่กล่องเล็ก ๆ พร้อมใบหม่อนสด แม่ลูกคอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงด้วยความสนุก เมื่อถึงเวลาหนอนไหมกลายเป็นดักแด้ แล้วสร้างรังไหมหุ้มตัวเอง แล้วกลายเป็นผีเสื้อ แล้วออกไข่ แล้วตาย วนเวียนเป็นวัฏจักรปีละครั้ง สุดท้ายเราตัดสินใจปลูกต้นหม่อนเพราะจำนวนหนอนไหมเริ่มมากขึ้น คราวนี้ศึกษาวิธีที่จะสาวไหม นึกดีใจที่จะมีไหม คงต้องไปหัดทอผ้าไหมเอาทีหลัง

ต้นหม่อนโตวันโตคืน มากพอที่จะเลี้ยงหนอนไหมเป็นร้อย ๆ ตัว ถึงเวลาที่สร้างรังไหม เราแอบคิดถึงผ้าไหมสีสวยที่ทอกับมือ เฝ้ารอจนรังไหมจนพร้อมที่จะต้ม กลับกลายเป็นทำใจไม่ได้ที่จะเทรังไหมสวย ๆ ที่มีดักแด้ตัวเป็น ๆ อยู่ในนั้น ลูก ๆ ต่างก็ไม่เห็นด้วยว่าจะฆ่าไหมพวกนั้นอย่างโหดร้ายโดยการต้มทั้งเป็น สรุปว่า โครงการทอผ้าไหมด้วยตนเองต้องล้มเลิกพร้อมกับการเลิกเลี้ยงไหม ส่วนต้นหม่อนที่โตวันโตคืน แต่ไม่มีลูก รอแล้วรอเล่าหลายปีหลังจากนั้นก็ไม่ยอมออกลูก สุดท้ายก็ต้องโค่นทิ้งเพราะต้นใหญ่เกินไปเปลืองเนื้อที่ ปลูกต้นไม้ว่าเหนื่อยแล้ว การทำลายต้นไม้ยิ่งเหนื่อยมากกว่า นับจากนั้นมาก็เลิกคิดเรื่องปลูกต้นไม้ใหญ่

ในสวนเราไม่ใช้สารเคมี ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี แต่เราหมักปุ๋ยเองโดยการเอาเศษผักจากในครัว ผสมกับหญ้าที่ตัดจากสนามแล้วฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ ผสมแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไส้เดือนจากใต้ดินจะขึ้นมากินส่วนผสมแล้วจะแปลงให้เป็นน้ำชีวภาพ คอกหมักปุ๋ยเราใหญ่พอสมควร สามารถผลิตปุ๋ยสดได้ในปริมาณมาก มากจนแจกพวกเพื่อนที่ชอบปลูกต้นไม้แนวนี้ได้ เวลาที่ต้นไม้มีปัญหาเรื่องเพลี้ย เราจะเอาเปลือกไข่มาเสียบตามกิ่ง ถ้าเป็นต้นมะกรูดมะนาวที่เพลี้ยชอบลง เราจะเอาเปลือกไข่ทุบแล้วฝังดิน รอไม่กี่วันเพลี้ยจะหาย

แต่ศัตรูพืชพวกหอยทากนี่เป็นอะไรที่บั่นทอนจิตใจมาก ลงผักกาดต้นเล็ก ๆ ชั่วข้ามคืน กลับมาดูพบว่าไม่เหลือแม้แต่ซาก เพาะมะละกอได้ต้นอ่อนกำลังสวย เผลอแป๊บเดียวหอยทากจัดการจนเหลือแต่ตอ คนทั่วไปจะใช้ยาเบื่อ แต่เราพยายามเลี่ยง โดยการซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยง ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ลูกเป็ดอายุสามวันที่เอามาเลี้ยง ตามกินหอยทากตามความคาดหมาย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ลูกเป็ดโตขึ้นกลายเป็นเป็ดตัวผู้ เราผิดหวังอย่างแรงเพราะอยากได้ไข่เป็ดเอาไว้ทำขนมเค้ก ใคร ๆ ก็รู้ว่าไข่เป็ดทำขนมเค้กได้ขึ้นฟูและเนื้อนุ่มมากกว่าไข่ไก่ และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เลี้ยงเป็ด

เป็ดตัวนี้ได้ชื่อว่า ชั้คกี้ ซึ่งเป็นชื่อตัวละครในการ์ตูนเรื่องนึงที่ลูก ๆ ชอบ ด้วยนิสัยของเป็ดตัวผู้คือขี้โมโห ขี้หงุดหงิด เจ้าอารมณ์ ชอบทำร้ายคนโดยการเข้าชาร์จที่ขา แล้วพยายามใช้ปากทู่ ๆ กัดขาคน เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่ต้องมารองรับอารมณ์อะไรแบบนี้ เราตัดสินใจซื้อลูกเป็ดมาอีกตัว เสี่ยงอีกรอบ โชคดีคราวนี้ได้เป็นตัวเมีย นึกดีใจที่มีครอบครัวเป็ดตัวผู้ตัวเมีย อีกหน่อยคงมีลูกเป็ดเดินตามกันเป็นฝูง เป็นครอบครัวอบอุ่นน่ารัก เป็ดตัวเมียชื่อ เซลโล่ ชื่อนี้ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเป็ดสาวที่อ่อนโยนสมกับเป็นเป็ดของเรา พอเราเดินเข้าสวนเค้าจะวิ่งรี่เข้ามาหา เพราะรู้ว่าจะมีอาหารอร่อยให้กิน ไม่ว่าจะเป็นผักกาดซอยละเอียดจากในครัวหรือหอยทากอ้วน ๆ เลี้ยงเป็ดสองตัว ภายในหนึ่งปี หอยทากหายเกลี้ยงสวน พร้อมกับไข่เป็ดสีแดงสด ที่กลายมาเป็นเค้กหอม ๆ ให้ลูก ๆ กิน เจ้าชัคกี้ยังคงความร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง ยังร้ายกาจไม่เลิก ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน เจ้านี่จะเดินตามไปทุกที่ แล้วพอเผลอก็จะชาร์จเข้าใส่ จนเราตัดสินใจว่า พอกันที จะไม่เป็นที่รองรับอารมณ์อีกแล้ว จะเอามันไปปล่อยที่ทะเลสาบ ลูก ๆ ก็เห็นด้วย…

วันนั้นเราทำสวนตามปกติ ให้อาหารเจ้าชัคกี้จนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เราแม่ลูกสามคนก็เดินไปหน้าบ้าน เจ้าชั้คกี้และเซลโล่เดินตาม แต่สาวน้อยเซลโล่จะไม่เดินออกนอกบริเวณบ้าน พอพ้อเขตบ้านเธอจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในสวน ส่วนเจ้าชัคกี้จะเดินตาม เราเดินข้ามถนนมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ โดยมีเจ้าชัคกี้เดินตามอย่างมุ่งมั่น จนถึงทะเลสาบ เป็ดชัคกี้พอเห็นทะเลสาบ เค้ากระโดดลงน้ำด้วยอาการเริงร่า ดำผุดดำว่ายไซร้ขนอย่างมีความสุข เราดีใจที่ชัคกี้จะได้อยู่ในที่ที่เค้าจะมีความสุข

ทะเลสาบนี้มีเป็ดเยอะแยะมากมาย ทั้งเป็ดน้ำเป็ดป่า นับได้สักสามสิบถึงห้าสิบตัว แต่ดูเหมือนชัคกี้จะไม่สนใจใครอื่น เอาแต่ว่ายน้ำไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข และแล้ว…ไม่ทันที่เราจะตั้งตัวทัน เจ้าชัคกี้ขึ้นจากน้ำแล้วเดินออกจากบริเวณ เราแปลกใจว่าเค้าจะไปไหนก็เดินตาม กลับกลายเป็นว่า เป็ดชัคกี้เดินนำหน้าพวกเรากลับบ้าน…อีกแล้ววววว!!!!!! ชีวิตล้มเหลวอีกแล้ว จะเอาเป็ดไปปล่อย ยังไม่สำเร็จ ต้องทนรองรับอารมณ์ไอ้ตัวนี้ต่อไป

แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา พอเราเดินออกจากบ้าน เจ้าชัคกี้จะเป็นฝ่ายเดินนำหน้าเรา มุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบ ไปว่ายน้ำจนหนำใจ แล้วเดินกลับบ้านโดยไม่สนใจใครว่าจะพร้อมอยากกลับบ้านหรือไม่ นิสัยสัตว์เพศผู้จริง ๆ ไม่เคยนึกถึงใคร นอกจากตัวเอง!!!!!! เลยกลายเป็นกิจวัตรว่า ถ้ามีเวลาจะพาเป็ดไปเดินเล่น ไปว่ายน้ำ ลองพยายามเอาเจ้าเซลโล่ไปด้วย แต่เธอไม่ยอมไปไหน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนสมเป็นเพศเมียจริง ๆ

แล้ววันที่เราเฝ้ารอก็มาถึง วันที่เป็ดเซลโล่กกไข่ นับดูมีไข่สิบฟองที่อยู่ในรัง ช่วงนี้เราจะเอาใจสาวน้อยเซลโล่เป็นพิเศษโดยการเอาอาหารมาให้ถึงที่ มีผักกาดสดหวานหั่นฝอยมาให้ มีน้ำสะอาดใส่กะละมังให้เธอได้ดื่มได้อาบ นั่งเฝ้าไข่ให้เธอเวลาเธอออกมานอกรัง เหมือนตัวเองรอเวลาจะมีลูกอ่อนยังไงยังงั้น วันเวลาผ่านไป ไข่เป็ดหายไปวันละฟอง หายไปไหน หายไปได้ยังไง??????

เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ หรือแถวนี้จะมีงู หรือตัวอะไรที่มันกินไข่เป็ด ไม่รู้ หาคำตอบไม่ได้ สุดท้าย ไข่หายเกลี้ยง เป็นปริศนาค้างคาใจมาจนทุกวันนี้ สรุปว่าเลยไม่มีลูกเป็ดเล็ก ๆ ให้ชื่นชม แต่แค่เป็ดสองตัวในบ้านก็พอเพียงแล้ว ไม่กล้าซื้อมาเพิ่มเพราะกลัวว่าถ้าเกิดกลายเป็นตัวผู้ขึ้นมาอีกก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดอีก…..

วันเวลาผ่านไป วันหนึ่งเช้าตื่นมา พบว่าเซลโล่นอนตายอยู่หน้ากรง เจ้าชัคกี้นิ่งเงียบ ไม่กินไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น อยู่ในอาการช็อค ไก่ที่เลี้ยงไว้ตัวนึงหายไป พวกเรางุนงงมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือมีขโมยเข้าบ้าน ในบ้านเรียบร้อยดี ไม่มีร่องรอยอะไรทั้งสิ้น กรงเป็ดก็ล็อคในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วไก่หายไปไหน ถามเพื่อนบ้านก็ไม่มีใครรู้

จนวันหนึ่ง เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปสี่หลังเดินเข้ามาบอกว่าเห็นหมาจิ้งจอกคาบไก่ออกไปจากบ้านเราตอนเช้ามืด นี่เองคือคำตอบที่หามาหลายวัน ถนนที่ตัดใหม่หลายสายลุกล้ำเขตที่อยู่ของพวกมัน ประกอบกับที่ทะเลสาบมีเป็ดมากมาย มีพุ่มไม้ให้หลบภัยเยอะแยะ พอเป็ดในทะเลสาบหมด เจ้าพวกนี้ก็จะหาเดินเข้าบ้านคนเพื่อหาอาหาร พอรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องเลิกเลี้ยงเป็ดไก่โดยสิ้นเชิง ส่วนเจ้าชัคกี้ สามวันหลังจากนั้นก็ตาย

ปิดฉากชีวิตเป็ด ๆ ในอัจฉราการ์เด้น

Message us