เรื่องเล่าเงาชีวิตหญิงไทยในต่างแดน
เรื่องโดย สุทธิดา มะลิแก้ว
Photo Credit: Cottonbro, Pexels.com
แม่วัย 32 หอบลูกชายวัย 6 ขวบ ลูกสาววัย 3 ขวบ ขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศอิหร่านกลับแดนอีสานบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ยุติชีวิตการแต่งงาน 7 ปีกับชายชาวอิหร่านและพร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทยแบบแม่เลี้ยงเดี่ยว
ในขณะเดียวกันอีกฝั่งหนึ่งของโลก มีหญิงสาวชาวลาววัย 20 ปลาย ๆ ที่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่รู้สึกโดดเดี่ยวสุด ๆ ได้ตัดสินใจพาลูกชายวัย 5 ขวบที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษ ขับรถฝ่าอากาศที่หนาวเย็นจัดออกจากบ้านอันแสนเปล่าเปลี่ยวในเมืองหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส เพื่อตระเวนหาที่อยู่ใหม่เมื่อรู้สึกว่าบ้านที่กำลังอาศัยอยู่นี้ไม่ใช่ที่ทางของเธอ และชายคนที่พาเธอมาอยู่ที่นี่ซึ่งเป็นพ่อของเด็กคนนี้ ก็ไม่ใช่คนที่เธอจะพึ่งพาได้อีกต่อไปและอาจจะเป็นอันตรายกับเธอด้วยซ้ำ
นี่คือตัวอย่างของผู้หญิง 2 คนที่ได้ใช้ชีวิตในต่างแดนที่มีเส้นทางเดินและบริบทของชีวิตอาจแตกต่างกัน แต่ในที่สุดทั้งคู่ต่างต้องเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเองด้วยเดินทางออกจากความเจ็บปวดและชีวิตคู่ที่ toxic หรือชีวิตคู่ที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของครอบครัวของทั้ง 2 คน อาจมีความแตกต่างกันบ้าง แต่จุดหมายปลายทางคล้ายคลึงกันคือการมีชีวิตที่ดี
สาวจากแดนอีสานได้พบปะกับชายหนุ่มชาวอิหร่านด้วยความบังเอิญเมื่อครั้งที่เขาเที่ยวที่ประเทศไทย เป็นการพบรักกันตามปกติ มีการพูดคุยและไปมาหาสู่กันตามประสาคนรักอยู่หลายครั้ง และเธอก็มีโอกาสไปรู้จักกับครอบครัวเขาที่ประเทศอิหร่าน 2-3 ครั้ง คบหาดูใจกันเป็นเวลาปี
กว่าๆ ทั้งคู่ก็ตกลงแต่งงานกันโดยที่เธอเดินทางไปแต่งงานที่ประเทศอิหร่านด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง แต่การแต่งงานของเธอก็ถูกต้องตามประเพณีและมีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายของอิหร่าน
ในขณะที่สาวลาว เริ่มต้นจากการอยากออกจากประเทศลาวเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ทางที่เธอเลือกทำคือศึกษาภาษาอังกฤษและหาเพื่อนคุยหรือสามีเป็นชาวต่างชาติ แน่นอนว่าเป้าหมายคือ “ฝรั่ง” และแล้ว เธอได้พบกับชายชาวอังกฤษที่สูงวัยกว่าเธอมาก ผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ เขาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งสองมีโอกาสเจอกันเพียง 2 ครั้ง ๆ ละไม่กี่วัน จนมาถึงการเจอในครั้งที่ 3 เธอจะให้เขาได้เจอกับพ่อแม่ของเธอที่ฝั่งไทยเพื่อบอกว่าจะแต่งงานกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแต่งงานแล้ว เธอก็ย้ายมาอยู่กับเขาที่ไทยและหางานทำ อันที่จริงเธอได้งานทำในเมืองไทยแล้วซึ่งเป็นที่ดีด้วย บังเอิญเธอพบว่า เธอตั้งท้อง เธอจึงได้ออกจากงาน และเขาเองก็บอกว่าต้องกลับบ้านที่อังกฤษ และเธอก็กลับบ้านของเธอ รอจนวันใกล้คลอดจึงกลับเข้ามาคลอดที่ไทย ซึ่งเขาก็ได้ซื้อบ้านที่ไทยและอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันเพราะเขาให้เหตุผลว่า การจดทะเบียนที่ลาวยุ่งยากและแพงมากแล้วค่อยมาจดทะเบียนกันที่สถานทูตทีหลัง เธอจึงมีสถานะเป็นแม่ของลูกของชาวอังกฤษเท่านั้น ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ในไทยซึ่งเธอรับบทแม่บ้านที่ทำงานบ้านทุกอย่างและเลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง จนลูกอายุได้เกือบจะ 4 ปี เขาพาเธอมาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสเพราะเขามีบ้านอยู่ที่นั่น เธอดีใจสุดขีดในวันที่เธอได้วีซ่าเข้าประเทศฝรั่งเศส
ความเหมือนและความต่างที่ทั้งสองต้องเผชิญ
แม้เดิมสาวอีสานคาดหวังว่าจะได้เข้าไปอยู่ที่บ้านกับสามีเพราะเขาบอกเอาไว้ว่าแต่งงานแล้วจะซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน แต่หลังแต่งงานเธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของเขา โดยเขาให้เหตุผลว่า เธอควรจะอยู่เรียนรู้งานจากแม่เขาก่อน จะไปอยู่เองคงไม่ได้เพราะเธอยังไม่รู้ภาษาและวัฒนธรรมของที่นี่ นั่นก็ถือถือว่าสมเหตุสมผลดี แต่การใช้ชีวิตในเบื้องต้นนั้นเป็นชีวิตคู่ที่ดี สามีแม้จะค่อนข้างเป็นคนที่เอาแต่ใจและเป็นลูกแหง่ของแม่แต่ก็ยังรักและดูแลเธอดี รวมทั้งแม่สามีก็มีความเอ็นดูเธออยู่ไม่น้อย จนต่อมาก็มีลูกด้วยกัน 1 คน และย้ายไปอยู่บ้านของตัวเอง เรื่องระหองระแหงเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อเธออยู่กับเขาได้ 3 ปี และเริ่มตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็รู้ดีว่าก็คงแค่ปัญหาผัวเมียตามปกติหรือแค่เรื่องลิ้นกับฟันที่กระทบกระทั่งกันได้ อันที่จริงไม่ว่าเธอจะคาดหวังว่าชีวิตแต่งงานจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เธอไม่มีหรือไม่ได้เตรียมตัวไปก่อนจะไปตั้งรกรากในประเทศใหม่ก็คือ เธอไม่รู้ภาษาที่เขาพูดกันในประเทศนั้น เธอต้องไปใช้ชีวิตในวัฒนธรรมใหม่ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้น เธอก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องกฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศนั้น ทุกอย่างต้องไปเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งเธอได้บอกว่าเธอก็ยังไม่รู้อะไรมากอยู่ดี
เช่นเดียวกันกับสาวลาว ที่เธอมีสามีเป็นชาวอังกฤษและคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เธอพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่เมื่อต้องมาอยู่ที่ฝรั่งเศสเธอก็ใช้ชีวิตได้ลำบากเพราะเธอไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส นอกจากการที่เธอต้องมาเรียนรู้ใหม่ทั้งเรื่องภาษาและวัฒนธรรม แต่ยากกว่าภาษาก็คือเธอไม่เคยเตรียมใจมาก่อนว่าเธอจะต้องมาใช้ชีวิตเช่นนี้ กล่าวคือ เมื่อไปถึง “บ้าน” ที่ฝรั่งเศส ถึงแม้เธอจะไม่พูดออกมาแต่ก็เชื่อว่าภาพความดีใจในวันที่ได้วีซาคงหายไปหมดสิ้น เมื่อพบกับสภาพบ้านที่ตั้งอยู่ในป่า มีความชำรุดทรุดโทรม ดูคล้ายบ้านร้างที่ยากจะอาศัยอยู่ได้ มีเถาวัลย์เกาะเกี่ยวปิดประตูทางเข้า หลังคาบ้านที่ผุพังจนใช้ไม่ได้แล้ว เรียกง่ายๆว่า “ไม่ตรงปก” ด้วยประการทั้งปวง ดังนั้น วันแรกของการเดินทางไปถึงแทนที่จะเป็นการพักผ่อนกันสบาย ๆ กลับกลายเป็นว่า เธอยังต้องวางกระเป๋าไว้นอกบ้านก่อน เธอและสามีพร้อมลูกชายตัวน้อย ต้องผันตัวเป็นคนงานก่อสร้างช่วยกันซ่อมแซมบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมนั้นทันทีและอยู่กันไปแบบถู ๆ ไถ ๆ พอให้อยู่ได้ ซึ่งใช้เวลาอีกหลายวันกว่าบ้านจะเป็นรูปเป็นร่างสำหรับอยู่อาศัย แต่เธอก็จัดบ้านให้ดูน่ารักอบอุ่น แม้มีบางส่วนของหลังคาที่ยังคงรั่วอยู่ก็ตาม หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่เธอไม่คาดฝันมาก่อน คือหลังจากอยู่ที่บ้านนั้นได้เพียงไม่กี่เดือน ฝรั่งเศสก็เข้าสู่หน้าหนาวและสามีก็บอกว่าจะต้องกลับมาเมืองไทยเป็นเวลา 3 เดือนโดยปล่อยให้เธอและลูกชายวัย 4 ขวบอยู่กันตามลำพัง ในขณะที่เธอยังพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ ยังไม่มีงานทำและยังไม่มีใบขับขี่ อีกทั้งบ้านในป่านั้นก็อยู่ห่างจากตัวเมืองถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งในวันที่เธอต้องออกไปหางานหรือติดต่อสอบใบขับขี่ในเมืองเธอต้องขี่จักรยานไปกลับถึง 30 กิโลเมตร ในตอนนั้นเองที่เธอรู้ว่า เขาไม่ใช่คนที่จะพึ่งพาได้และเธอจะต้องรีบพัฒนาตัวเองให้สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุด
สิ่งที่ทั้ง 2 คนมีเหมือนกันอีกอย่างหนึ่งคือ ทั้งสองเป็น “ยูทูบเบอร์” เปิดช่องยูทูบของตัวเองแล้วเล่าเรื่องราวชีวิตให้ผู้ติดตามได้ชมวิถีชีวิตประจำวันในแต่ละวัน ปัจจุบันช่องของสาวอีสานที่เปิดมาเป็นเวลา 4 ปีกว่า ๆ มีผู้ติดตามเกือบ 4 หมื่นคน โดยภาพที่นำเสนอจะค่อนข้างใกล้กับ real time คือเป็นกิจวัตรประจำวันแทบจะวันต่อวัน แต่เรื่องราวที่เธอเล่าให้ฟังนั้นอาจย้อนเรื่องในอดีตบ้าง และสถานการณ์ปัญหาของเธอในปัจจุบันบ้าง เพื่อทำให้ผู้ติดตามเข้าใจและรู้จักกับชีวิตที่แท้จริงของเธอ
ในขณะที่ช่องของสาวลาวที่เปิดมาเมื่อ 3 ปีกว่า ๆ มียอดผู้ติดตามประมาณแสนกว่าคน เดิมทีเดียวเธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังในการลงนำเสนอ หลายเรื่องราวอาจจะย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อนแต่เพิ่งมาลงทีหลังจากอีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น และมักทำเป็นแนวสรุปเรื่องราว แต่ก็ทำให้คนได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ
ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อและเป็นเจ้าของสื่อได้โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ทำให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในโลกเราก็สามารถเข้าไปติดตามเรื่องราวของคนอื่นและเสนอเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้ได้ ทว่า การทำช่องยูทูปเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองนั้นถือเป็นดาบสองคม มีทั้งด้านบวกและลบ
ในด้านบวกคือ 1) ยูทูบเป็นช่องทางในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ สำหรับคนที่ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง การมีช่องยูทูบทำให้พวกเธอมีโอกาสได้สื่อสาร ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปพบเห็นมา ได้ระบายความอึดอัดขัดข้องใจออกมา คล้าย ๆ ได้ปรับทุกข์ให้กับเพื่อนแต่เป็นเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกัน บางครั้งยูทูบก็เป็นช่องทางขอความช่วยเหลือ หรือรับความช่วยเหลือ ในบางครั้งหากพบว่ายูทูบเบอร์กำลังอยู่ในสภาวะยากลำบากหรือต้องการความช่วยเหลือในบางสิ่งบางอย่าง เหล่าผู้ติดตามจำนวนหนึ่งก็มานำเสนอความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำหรือให้กำลังใจ
กรณีสาวอีสานที่ไปอยู่ในอิหร่านแบบหัวเดียวกระเทียมลีบที่ทุกวันใช้ชีวิตแค่ในห้องสี่เหลี่ยม ชีวิตนอกบ้านจะพึ่งพาสามี เพราะเป็นประเทศที่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอิสระมากนัก เธอไม่สามารถที่จะพูดคุยความรู้สึกกับใครได้ ที่ปรึกษาคนเดียวของเธอคือแม่สามี ที่เธอก็คุยกันได้แบบกระท่อนกระแท่น เธอได้ใช้ยูทูบเป็นพื้นที่ระบายความรู้สึกและแลกเปลี่ยนความเห็น นอกจากที่เธอจะทำอาหารหรือเสนอชีวิตประจำวันให้ดูแล้ว ที่นี่ก็เหมือนกับพื้นที่ที่ทำให้เธอได้พบปะและได้ปรับทุกข์กับผู้คนมากมาย
(ด้วยภาษาเดียวกัน) เช่นเดียวกับสาวลาว การสื่อสารในยูทูบของเธอทำให้ผู้คนได้รู้จักเธอมากขึ้นและเมื่อเธอไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ในวันที่เธอมีปัญหาครอบครัว มีคนให้กำลังใจเธอมากขึ้นและเธอก็ได้พบกับผู้ที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ ยูทูบของเธอก็เป็นช่องทางที่ทำให้คนไทยในฝรั่งเศสได้มีโอกาสรู้จักเธอและหลายคนก็ได้มีโอกาสไปพบปะและช่วยเหลือกัน
และ 2) ยูทูบคือช่องทางทำรายได้ ชีวิตของแม่บ้านที่ในแต่ละวันวุ่นอยู่แต่กับการดูแลลูกและสามี ทำงานบ้าน ทำกับข้าว ไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้าน คอนเทนต์ในบ้านก็เป็นที่สนใจไม่น้อย ยูทูบจึงเป็นช่องทางทำรายได้ บ้างก็เป็นรายได้หลักบ้างก็เป็นรายได้เสริม และนอกจากนั้นยังใช้ฐานผู้ติดตามให้กลายมาเป็นลูกค้าซื้อสินค้าออนไลน์ที่จะพวกเธอจะขายได้ สาวอีสานได้อานิสงส์จากจุดนี้จริง ๆ เพราะเมื่อกลับไปอยู่เมืองไทย เธอก็ได้แนะนำสินค้าของเธอผ่านทางยูทูบเช่นกัน
แต่ในอีกด้านหนึ่งที่เป็นทางลบของการมียูทูบ คือ การที่เราเปิดพื้นที่ของเราให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ทำให้ผู้ติดตามที่เข้ามาชมเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตมากเกินไป หลายคนคอมเมนต์ให้คำแนะนำ แต่บางคนถึงขั้นด่าทอ หรือตัดสินเจ้าของเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง หรือไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด ณ จุดนี้ ยูทูบอาจเป็นเครื่องมือที่มาบั่นทอนกำลังใจเจ้าของช่อง หากใจไม่เข้มแข็งพอก็สามารถส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจ หรือบางครั้งอาจจะทำให้ได้รับข้อมูลผิด ๆ หากไม่กลั่นกรองให้ดี ที่สำคัญบางครั้งแม้เราจะไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจกับคอมเมนต์ toxic หรือคอมเมนต์บั่นทอนต่าง ๆแต่เราโต้ตอบไม่ได้เพราะอาจจะเสียลูกค้าและ subscriber ไป ซึ่งมีผลต่อรายได้
กรณีของสาวอีสานกับลูกทั้งสอง บางวันเธอรู้สึกท้อแท้ และมาเล่าให้ฟังว่าพ่อบ้าน (ชาวอิหร่าน) ในเวลาที่หงุดหงิดหรือทะเลาะกันกับเธอก็มักจะบอกว่า จะเลิกกับเธอและขู่ว่าจะไม่ให้ลูกอยู่กับเธอ ซึ่งเขาพูดบ่อยมาก เธอรู้สึกเครียดมากเพราะไม่อยากได้ยินการขู่แบบนี้อีก เลยตอบไปว่า “จะเลิกก็เลิก ไม่ให้ลูกก็ไม่เอาก็ได้” ด้วยคำพูดเช่นนี้ถึงทำให้เขาหยุดขู่เธอได้ แต่เหล่าผู้ติดตามก็รีบเข้ามาให้คำแนะนำเธอว่า “ให้เธอใจเย็น ๆ อดทนเอาไว้ ปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องปกติ ขอให้เห็นแก่ลูก” บางคนก็รีบบอกเธอว่า “เธอจะทิ้งลูกไปไม่ได้นะเพราะลูกควรจะมีทั้งพ่อและแม่” หรือบางคนก็บอกว่า “ตอนที่พ่อบ้านเขาอารมณ์ดีเขาก็ดูน่ารักนะ เราอย่าใจร้อนอะไรยอมเขาได้ก็ยอมๆ เขาบ้าง” ประมาณนี้ และเมื่อปัญหาเริ่มมากขึ้นผู้ชายมักใช้วาจาที่ไม่ดีกับเธอ แต่เธอไม่ได้บอกว่าคำพูดรุนแรงเหล่านั้นคืออะไร และทุกครั้งที่ทะเลาะกันเขาก็มักจะไล่ให้เธอกลับประเทศไทย ความเครียดและความกดดันก็เกิดกับเธอมากขึ้น และในช่วงท้ายๆ เขามักพูดคุยถึงแต่เรื่องค่าใช้จ่าย เงินๆ ทองๆ ว่าเธอควรจะแบกรับโดยที่เธอจะไม่เอาเปรียบเขา และเช็คยอดรายได้ของเธอ ซึ่งเธอคิดว่า เรื่องนี้มันมากเกินไป เธอเป็นแม่บ้านที่ไปไหนก็ต้องพึ่งพาสามี แต่ที่เธอไม่ได้พึ่งพามากมายคือค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเธอ อีกทั้งเธอยังต้องออกค่าเล่าเรียนให้ลูก รวมถึงเงินประกันต่างๆ ดังนั้น เธอจึงคิดว่าเธอควรจะมีเงินเก็บในส่วนของเธอเอาไว้ เผื่อในยามที่จำเป็นโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องเอาไปให้เขาทั้งหมด คำพูดที่หยามหมิ่นเธอ คำพูดที่ทำให้เธอปวดใจและการไล่เธอกลับประเทศบ่อย ๆ นั้น ส่งผลต่อสภาพจิตใจมาก เธอไม่มีความสุข แต่เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าลงในยูทูบของเธอ มีหลายคนเข้าใจเธอแต่ก็มีอีกหลายคนบอกว่าเรื่องนี้ส่วนตัวเกินไป ไม่ควรออกสู่สาธารณะพร้อมสอนเธอเรื่อง “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” และจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า เธอยังอดทนไม่พอ คิดว่าเธอไม่ควรจะไปไหนเพื่อให้พ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน และมีหลายคนก็บอกว่า “แต่อย่างน้อยสามีเธอเขาก็ไม่เจ้าชู้และไม่ได้ตบตีเธอนะ”
เช่นเดียวกับสาวลาว ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเธอทะเลาะกับสามี และขณะนั้นสามีก็ยังอยู่ที่ประเทศไทย แต่จะด้วยเหตุผลอะไรที่หนักหนาสาหัสก็แล้วแต่ เธอได้ขับรถพาลูกชายออกจากบ้านมา โดยยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน แต่เธอรู้ว่ามันมีองค์กรหรือหน่วยงานที่อาจจะให้ความช่วยเหลือได้ รวมทั้งแม้ว่าเธอจะไม่ได้เตรียมตัวในเรื่องนี้ก็จริง แต่หลังจากได้เห็นพฤติกรรมของสามีแล้ว เธอได้เตรียมตัวและคิดไว้แล้วว่า เธอจะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ เธอทำบัตรประกันสุขภาพ หมั่นศึกษาภาษาฝรั่งเศสซึ่งเธอต้องศึกษาด้วยตัวเองเพราะเธอไม่มีรถที่จะไปเข้าคลาสเรียน ไปหางานทำและไปสอบใบขับขี่ ซึ่งเธอใชัความพยายามถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้ใบขับขี่มา และเธอก็ฉลองกันสองคนแม่ลูก ในระหว่างนั้น เขายังไม่กลับมาฝรั่งเศสก็มีปากเสียงกันอีกแล้ว เธอขับรถออกไปโดยมีคนไทยที่เป็นคนรู้จักกันให้เธอได้พักอาศัยชั่วคราว จนกระทั่ง เมื่อเขากลับมาหลังจากคริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้ว และเนื่องจากรถเสียเธอไม่มีรถไปส่งลูกเลยต้องกลับไปอยู่ที่บ้านสามี แต่การกลับมาของเขาคราวนี้ทำให้ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแย่ลงจนเธอต้องหายเงียบไปพักหนึ่ง ซึ่งในตอนที่ลงคลิปผ่านยูทูบบอกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องออกจากบ้านมา และตอนนี้เธอได้ขอแยกทางกับสามีแล้ว ตอนนี้ผู้ติดตามเธอผ่านยูทูบก็เริ่มออกมาให้ความเห็นว่า “ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงลูก ถึงจะอยากจะเลิกกับเขาแต่เรามีสิทธิอยู่บ้านนี้เพราะลูกเขายังอยู่” เช่นเดิมบางคนก็บอกว่า “เธอกำลังทำลายครอบครัวของเธอเองอยู่นะ”
ไม่ใช่แค่ผู้ชมที่มองว่า ความรุนแรงยังไม่เกิดกับเธอ ทำไมเธอถึงไม่อดทนอยู่ที่บ้านหลังนั้นเพื่อลูก แม้แต่หน่วยงานช่วยเหลือคนที่มีปัญหาความรุนแรงในครอบครัวก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน เขาบอกว่า ที่นั่นให้ที่พักเฉพาะคนที่หนีมาจากการถูกทุบตีขู่ฆ่าหรืออะไรทำนองนั้น เขาบอกว่าประเด็นของเธอไม่ได้เข้าข่ายนั้นและส่งเธอกลับไปยังที่เดิมที่เธอจากมา
เมื่อเธอกลับไปที่บ้านและเขาก็กลับมาแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งกันเริ่มหนักมากขึ้น เขายังคงคบกับแฟนเก่า และเอาคำพูดแฟนเก่ามาต่อว่าเธอ เขาหงุดหงิดในทุกอย่างที่เป็นเธอ มีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายแต่เป็นการทำร้ายจิตใจอย่างมากจนกระทั่งเธอถึงขั้นจะทำร้ายตัวเอง สภาพของมือและแขนที่บาดเจ็บทำให้เธอขับรถมือเดียวเพื่อไปทำงานที่เธอเพิ่งได้งานในวันแรก ถึงช่วงนี้เธอรู้ว่า อย่างไรก็ตามคงใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่โชคดีที่มีพี่คนไทยให้การช่วยเหลือ โดยให้เธอและลูกอาศัยอยู่ก่อนในระหว่างที่ไปรอหาอพาร์ตเมนต์ใหม่ ถึงตอนนี้เหล่าผู้ติดตามจำนวนไม่น้อยเริ่มเห็นอกเห็นใจเธอ มีคอมเมนต์ให้กำลังใจเยอะมาก แต่ยังมีอีกหลายคนยังคงยืนยันว่าเธอควรจะอยู่บ้านหลังเดิม ไม่ควรพาลูกย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่บ่อยๆ สงสารเด็กต้องปรับตัว โดยที่ไม่ได้เข้าใจว่า เธอกลับเข้าไปอยู่ไม่ได้อีกแล้วทั้งด้วยสาเหตุของสภาพจิตใจและเขากำลังจะกลับไปประเทศไทยอีกแล้ว และเขาก็ปิดล็อกบ้านไว้โดยไม่ได้คิดถึงว่า “ลูกของเขา” จะไปอยู่ที่ไหน และยังมีอีกหลายคนที่เข้ามาสอนคุณธรรมให้แก่เธอ “อย่าลืมบุญคุณของพี่คนไทยคนนั้นนะ ที่เขาช่วยเราไว้” หรือ “เราไม่ได้ตัวคนเดียวมีลูกด้วยไปอาศัยบ้านคนอื่นนาน ๆ คงจะไม่ดีนะ เขาใจดีแต่เราต้องเกรงใจเขา” เธอใช้เวลาอยู่บ้านของพี่สาวคนไทยเป็นเวลา 3 เดือนก่อนที่จะย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์ที่เช่าจากรัฐบาลแต่ด้วยสิ่งแวดล้อมแล้วเธออยู่ที่นั่นได้เพียง 2 สัปดาห์ จนกระทั่งเธอได้พบบ้านเช่าที่กะทัดรัดอยู่ด้วยกันกับลูกชายเพียง 2 คน และแบ่งวันกันดูแลระหว่างเธอกับสามี แต่ในช่วงคริสต์มาสปี 2024 สามีก็มาไทยพร้อมพาลูกชายมาด้วย เขาบอกว่าจะมาอยู่เป็นเวลา 6 เดือน เธอยอมให้ไปเพราะว่าอยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อ ก่อนที่ลูกชายจะต้องกลับมาเข้าโรงเรียนแล้วจะเดินทางไปไหนคงยากอีก ซึ่งตรงนี้เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายก็เข้ามาเตือนในนามของความหวังดีกับเธอ แต่อ่านแล้วจะเป็นการคอมเมนต์ที่บั่นทอนจิตใจเธอเสียมากกว่า
นี่ก็เป็นอีกด้านของยูทูบ แต่จากคอมเมนต์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในนี้เองและเงื่อนไขของความช่วยเหลือจากองค์กรสงเคราะห์ฯ ที่เธอไปหาก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่ยังคงกดทับผู้หญิงอยู่และบังคับให้ผู้หญิงต้องอดทนและต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางใจ ด้วยประโยคที่ว่า “อย่างน้อยข้อดีของเขาคือเขาไม่ได้ลงมือลงไม้กับเธอ”
ถึงตรงนี้ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมผู้คนถึงได้คิดว่า การที่ไม่ถูกตบตี ไม่ถูกทำร้ายทางร่างกายจึงไม่เป็นเหตุอันควรที่จะให้ผู้หญิงสามารถออกมาจากปัญหาเพื่อมาหาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างชอบธรรมนะ? แล้วสภาพจิตใจล่ะ เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือ? อย่าลืมว่าการที่แม่เครียดหนัก อาจนำไปสู่สภาวะซึมเศร้าและผลกระทบจะเกิดขึ้นกับลูกด้วยเช่นกัน หลายคนมักไม่คิดถึงเรื่องนี้และมักมองแค่ว่าความรุนแรงนั้นคือความรุนแรงที่เป็นรูปธรรม หรือจะต้องรอให้บาดเจ็บสาหัสจนกระทั่งต้องร้องขอชีวิตก่อนกระนั้นหรือถึงจะนับเป็นความรุนแรง หรือเป็นเหตุผลอันชอบธรรมที่จะออกมาจากชีวิตคู่ที่เป็นพิษ (toxic) ได้?
ในความเป็นจริงคำว่าความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) ได้มีการนิยามไว้และเป็นที่ยอมรับกันทั่วหน้าว่า ไม่ได้หมายถึงการทำร้ายร่างกายเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังหมายรวมถึง การทำร้ายจิตใจ ด่าว่า ดูถูกเหยียดหยาม ปฏิบัติอย่างไม่ให้ความเคารพ การทำให้โดดเดี่ยวจนไม่ได้รับความช่วยเหลือด้วย การแยกตัวออกจากครอบครัวและชุมชน หรือการใช้ครอบครัวและชุมชนเพื่อทำให้อับอาย ซึ่งอาจรวมถึงการส่งข้อความหรือโพสต์ในเฟซบุ๊ก การตามดูหรือติดตาม ‘ทุกความเคลื่อนไหว’ รวมทั้งการติดตามบนอินเทอร์เน็ต ผ่านโซเชียลมีเดีย ใช้อุปกรณ์ติดตาม GPS เป็นต้น ก็ถือเป็นความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนั้น ยังมีสิ่งที่เข้าข่ายอีกคือ การทำร้ายทางการเงิน เช่น การไม่ให้ค่าใช้จ่ายเพื่อกินอยู่ หรือ ‘เงินสำหรับแม่บ้าน’ การห้ามไม่ให้ทำงาน การให้ข้อมูลเท็จแก่ระบบให้เงินเลี้ยงดูบุตร การข่มขู่บังคับให้เซ็นเอกสารกฎหมายและเอกสารการเงินที่ทำให้อีกคนเป็นหนี้ การใช้อำนาจบังคับเอาเงินจากอีกคนหนึ่ง นอกจากนั้น การห้ามไม่ให้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อหรือความศรัทธา หรือการบังคับให้อีกฝ่ายมีความศรัทธาหรือความเชื่อซึ่งไม่ใช่ความเชื่อของเขา การทำร้ายหรือขู่จะทำร้ายคนรัก รวมถึงเด็ก การทำร้ายหรือขู่จะทำร้ายสัตว์เลี้ยงก็จัดว่าเป็นความรุนแรงในครอบครัวด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับสาวอีสานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีสุดท้ายที่เขาเริ่มมาก้าวก่ายกับรายได้ของเธอมากขึ้น หลังจากที่เขาได้ออกจากงานมาอยู่บ้านด้วยมีปัญหาด้านสุขภาพโดยที่เขามีเงินเก็บและมีดอกเบี้ยจากเงินเก็บที่สามารถนำมาใช้จ่ายในส่วนที่ตกลงกันไว้กับเธอว่า เขาจะจ่ายค่าใช้จ่ายภายในบ้านซึ่งหมายถึงค่าอาหาร ค่าน้ำ และค่าไฟ ในขณะที่เธอจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนลูก รวมทั้งค่าประกันต่างๆ เขาเองก็อยากจะมีรายได้เสริมจึงขอให้เธอสอนให้ทำยูทูบบ้าง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แม่ของเธอซึ่งอยู่ในประเทศไทยต้องผ่าตัด เธอเลยคิดว่าจะช่วยเหลือค่าผ่าตัดของแม่ซึ่งทำให้เขาหงุดหงิดแล้วใช้คำพูดที่ไม่ดีกับเธอ แม้ในที่สุดเขาจะยอมให้เธอกลับมาดูแลแม่ในช่วงที่ผ่าตัดและยอมให้พาลูก ๆ มาด้วย แต่เมื่อเธอกลับไปเขาก็มักจะหยิบยกแต่เรื่องเงินมาคุยกับเธอ ตอนนั้นลูกชายเพิ่งจะเริ่มเข้าเรียน แต่เธอมีลูก 2 คนก็เริ่มกังวลว่าค่าใช้จ่ายจะไม่พอ เธอจึงคิดจะหารายได้เสริม เธอได้ทำงานกับร้านนวดแห่งหนึ่งที่ตกลงรับเธอไว้แล้ว แต่นั่นยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เธอออกไปทำงานได้แค่ไม่กี่วันแต่บรรยากาศในบ้านดูจะไม่สงบ ทำให้เธอตัดสินใจบอกเลิกงานนั้น แต่เธอคิดว่าเธอรับอยู่กับความเครียดในบ้านมากเกินไป จึงขอไปพักกายพักใจที่ไทยสัก 2 เดือน แต่เขาตอบว่า “จะหย่ากับเธอภายใน 7 วัน” การเผชิญเรื่องเหล่านี้หลายประเด็นก็น่าจะเข้าข่ายหรือเป็นสัญญาณของความรุนแรงที่เกิดขึ้นและน่าจะเป็นเหตุผลอันชอบธรรมพอที่จะให้เธอตัดสินออกมาใช้ชีวิตของเธอเอง
สำหรับในส่วนของสาวลาวนั้นก็ชัดเจนว่า ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว เธอได้รับการปฏิบัติแบบไม่เคารพ เช่น สามีไปหาผู้หญิงคนอื่นรวมทั้งยังนำคำพูดของแฟนเก่าซึ่งอาจจะยังคบกันอยู่มาตำหนิติเตียนเธอ นอกจากไม่ได้ให้เงินเลี้ยงดูเธอในระหว่างที่เธออยู่กับลูกแค่สองคนแล้ว การอยู่ในบ้านด้วยกันหากไม่ใช่มองเห็นเธอทำอะไรก็ผิดไปหมด ก็จะทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุคือไร้ตัวตน ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะมีใครไปตัดสินใดๆ เรื่องที่เธอรีบออกมาหาพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเธอเองก็นับว่าเป็นเรื่องควรทำอย่างยิ่ง
เรื่องราวของผู้หญิงทั้ง 2 คนที่ได้หยิบยกมากล่าวถึงในที่นี้ หลายคนอาจจะมองว่า นี่มันคือเรื่องราวที่สุดแสนจะธรรมดาที่เหล่าแม่บ้านไทยในต่างแดนหรือคนที่แต่งงานไปอยู่ต่างประเทศหลายคนเจออะไรที่หนักกว่านี้เสียอีก ทว่า การหยิบยกเรื่องของผู้หญิงทั้ง 2 มากล่าวมาไม่ได้นำเสนอเรื่องดราม่า หรือการที่ผู้หญิงต้องตกเป็นเหยื่อหรือเรื่องราวโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่พบตามข่าวกันมามากมาย แต่นำเสนอเพื่อให้เป็นการถอดบทเรียนและชี้ให้เห็นวิธีคิด การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาของแต่ละคน ที่ต้องหาทางออกให้ตัวเอง ไม่ทนอยู่กับสภาพครอบครัวที่บรรยากาศเป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหนักๆ ขึ้นในภายหลัง
โดยพื้นฐานแล้วทุกคนอาจจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ช่วยลดปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตไปได้ในระดับหนึ่งของการอยู่ต่างแดนคือ การที่เราเข้าใจภาษา วัฒนธรรมและกฎหมายของประเทศนั้นๆ เนื่องจากจะทำให้เราปรับตัวกับสังคมและชุมชนในประเทศนั้นได้ง่ายขึ้นหรือเร็วขึ้น แต่ในกรณีของครอบครัว สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นเอาตัวออกมาจากปัญหาได้คือ การที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพิงสามี โดยเฉพาะไม่พึ่งพิงทางด้านการเงิน (มีรายได้เป็นของตัวเอง), การเดินทางสัญจรด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ, การมีคนหรือหน่วยคอยช่วยเหลือในต้องการหรือจำเป็น หากขาดสิ่งเหล้านี้ไปก็ยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้
นอกจากนั้น ทั้ง 2 กรณี ที่หยิบยกมานี้เพื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญที่พึงจะมีเพื่อที่ผู้หญิงจะไม่ทำให้ตัวเองต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่
1. วิธีคิดและเป้าหมายที่ชัดเจน (Mindset & Goal)
เรื่องวิธีคิด หรือ Mindset เป็นสิ่งสำคัญมาก เริ่มจากที่ผู้หญิง ต้องเชื่อเรื่อง “ชีวิตลิขิตเอง” และไม่ผูกติดอยู่กับการพึ่งพิงคนอื่น เช่น ผู้หญิงทั้งสองตอนเลือกสามีหรือเลือกที่จะไปอยู่ในต่างประเทศล้วนเลือกด้วยตัวเอง โดยวางเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร เช่น ต้องการครอบครัวที่ดี ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี หากสิ่งที่เผชิญอยู่เป็นอุปสรรคและไม่สามารถจะทำให้บรรลุตามเป้าหมายได้ การที่เลือกที่จะเดินออกมาหาชีวิตที่ดีกว่า พวกเธอก็ต้องกำหนดเอง และจากตัวอย่างของทั้ง 2 คน แม้อาจจะต้องยอมในเงื่อนไขหรือในบางบริบท แต่ที่สุดแล้วจะต้องไม่ยอมจำนนแล้วยินยอมให้ถูกชี้นำ ล้วนตัดสินใจเองโดยไม่ได้ปล่อยให้คนอื่นมากำหนดทางเดินของชีวิต
2. วิธีการที่แยบยลและการอดทนรอในระดับหนึ่ง (Systematic Method & Patience)
ในการหาทางออกจากปัญหา จะใช้วิธีการแบบหุนหันพลันแล่นคงจะไม่ได้ผล แต่การเตรียมการไว้ทีละขั้นตอนอย่างชัดเจนและใจเย็น ป้องกันการผิดพลาด และอดทนรอโอกาสในการลงมือเท่านั้นที่จะทำให้พบทางออกและบรรลุเป้าหมายได้ ตัวอย่าง สาวอีสาน ที่รู้ดีว่าสถานการณ์ในครอบครัวเริ่มจะง่อนแง่น ทั้งเรื่องความสุขและสถานะทางการเงิน เธอจึงคิดหาทางออกไว้หลาย ๆ ทาง และเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้นหากเธอจะต้องกลับประเทศไทย เธอคิดถึง 2 ประเด็นสำคัญคือ จะเอาตัวเองและลูกออกจากประเทศได้อย่างไร ตามกฎหมายอิหร่านหากสามีไม่ยินยอม เธอกับลูกจะเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ และหากออกนอกประเทศได้ อยู่ในประเทศไทยเธอจะต้องทำอาชีพอะไรในการหาเลี้ยงตนเองและเลี้ยงลูกทั้งสอง ทำให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร สาวอีสาน เคยกลับมาเยี่ยมแม่เธอมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อแม่บอกว่าป่วยแต่สามีไม่ได้มาด้วย เนื่องจากบอกว่าติดปัญหาเรื่องทหารที่ทำให้เขาออกมาไม่ได้ แต่ในช่วงก่อนหน้านั้นตอนที่เขามาหาเธอที่ไทยก่อนแต่งงานกันนั้น เป็นช่วงที่เขาจ่ายเงินเพื่อเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีแบบนั้นแล้ว เธอจึงมาพร้อมกับลูกทั้งสอง และพาสปอร์ตของเธอและลูกเธอก็เก็บไว้เป็นอย่างดี และต่อมาเมื่อเธอต้องไปดูแลแม่เป็นเวลา 6 เดือน ในช่วง 6 เดือนนั้น เธอหัดขับรถยนต์ เธอลองขายของออนไลน์ มีสินค้าจากทางใต้ที่แม่เธออาศัยอยู่และจากทางอีสานบ้านของเธอ และเธอได้ลองทำการเกษตร ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี เธอบอกสามีว่าหัดขับรถ เขาเลยบอกว่าถ้ากลับมาอิหร่านต่อไปเขาจะให้เธอขับรถให้เขานั่งนะ และเมื่อเธอกลับมาก็เจอปัญหาอีกครั้ง เรื่องที่สามีไม่พอใจเรื่องที่เธอจะไปทำงาน เธอก็ยอมออกจากงาน ในขณะที่มีเรื่องกันหนักมาก เธอก็ไม่ได้วิ่งหนีจากเขามาในทันที เธออดทนรอให้เขาใจเย็นลงและพูดคุยกันดี ๆ ว่าเธอขอกลับมาไทยเพื่อพักกายพักใจ แม้เขาจะโกรธและบอกว่าจะหย่ากับเธอ เธอยังคงไม่หุนหันพลันแล่น แต่เตรียมการไว้ทั้งหมดแม้กระทั่งเรื่องใบอนุญาตการเดินทางออกนอกประเทศของเธอและลูกที่มีอายุการใช้งาน 5 ปี ทำให้เธอไม่ต้องขออนุญาตใหม่ และในที่สุดก็จากมาโดยที่ไม่ต้องหนีโดยขอเวลาสามี 2 เดือนที่จะพักกายพักใจ แต่ 1 เดือนหลังจากนั้นสามีก็มาหาเธอและลูกที่เมืองไทย เธอก็ได้บอกเขาไปว่า เธอไม่กลับไปแล้วและเธอเตรียมเอกสารหย่าเอาไว้พร้อมแล้ว
ส่วนสาวลาวเอง แม้ว่าในช่วงแรกเธอจะมีการหุนหันพลันแล่นออกมา นับตั้งแต่ที่เธอมีสัญญาณว่าเขาไม่น่าจะเป็นที่พึ่งให้เธอฝากชีวิตได้ เธอเตรียมการไว้แล้วเช่นกัน เธอทำบัตรประกันสุขภาพ สอบใบขับขี่ และหางานทำ ในวันที่เธอรู้ว่าต้องออกมาจริงๆ นั้น เธอได้งานทำเรียบร้อยแล้ว เธอศึกษาถึงสวัสดิการต่างๆ ที่เธอจะเข้าถึงได้ในประเทศฝรั่งเศส และเมื่อถึงวันที่รู้ว่าอยู่ต่อไม่ไหวเธอจึงจากมา อันที่จริงเธอน่าจะผิดหวังตั้งแต่วันแรกที่เธอมาปรับปรุงบ้านร้างแล้ว แต่เธออดทนเพื่อลูกและรอวันที่เธอพร้อมที่จะยืนได้ด้วยตัวเองแล้วเธอค่อยออกมา
3. เสริมสร้างพลังให้ตัวเอง (self-empowerment)
จาก mindset เดิมที่ว่า เราไม่ได้เลือกเดินทางมาเพื่อจะเป็นเหยี่อ แต่เรามาพร้อมกับความหวังและความต้องการชีวิตที่ดี แต่เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เราต้องไม่ทำตัวเป็นเหยื่อของสถานการณ์นั้น และที่สำคัญไม่ต้องรอให้มีใครมาช่วยเสริมพลังใจ (Empowerment) ให้ แต่ผู้หญิงจะลุกขึ้นและสามารถยืนด้วยขาของตนเองให้ได้นั้น จะต้องเสริมพลังให้ตัวเอง (Self-empowerment) ซึ่งหมายถึง การที่เราต้องมั่นใจว่าเราเองนี่แหละที่จะต้องควบคุมการใช้ชีวิตและสิ่งที่เกิดรอบตัวของเราได้ เพราะว่าเมื่อเรามีความมั่นใจในตนเอง เราก็จะคิดวิเคราะห์และตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและเมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว จะพยายามไปให้ถึงจุดหมายได้แม้จะเจออุปสรรคก็ตาม
ตัวอย่างของคุณแม่ชาวอีสานกับพ่อบ้านอิหร่าน เป็นความชัดเจนว่าเธอมีความเข้มแข็งด้วยพลังใจของเธอเอง เพราะเธอเคารพตัวเองและยังคงต้องการเป็นตัวของตัวเอง คำพูดด้อยค่าต่างๆ ที่เธอโดนมาจึงไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าแต่กลับกลายเป็นพลังให้เธอตัดสินใจเลือกทางออกให้กับชีวิตเธอ ซึ่งเธอคิดว่าเธอเคยมีความสุขกว่านี้และเธอหาวิธีการอย่างรอบคอบเพื่อให้ถึงจุดหมาย และในที่สุดการได้กลับบ้านเกิดคือคำตอบของเธอ
ส่วนสาวลาวเองก็เช่นกัน การอยู่ด้วยโดยถูกเหยียดหยามและไม่ได้เคารพกัน เธอไม่นั่งทนกับความเจ็บช้ำเมื่อเธอรู้ว่าเป้าหมายของเธอคือต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เธอจึงได้ออกจากประเทศลาวมา แต่เมื่อสถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจ เธอจึงพัฒนา เสริมทักษะต่างๆ ให้ตัวเอง และมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย เธอจึงเดินออกมาจากพื้นที่ของปัญหาและเลือกเดินต่อในฝรั่งเศสด้วยตัวเธอเอง