เรื่องเล่าเงาชีวิตหญิงไทยในต่างแดน
เรื่องโดย วีริญจ์
Photo Credit: Liza Summer


ความรู้สึกเจ็บแปลบบนโหนกแก้มข้างซ้ายของหญิงสาวกำเริบขึ้นอีกครั้งเมื่อสายลมหนาวพัดวูบเข้ามา ลมในค่ำคืนนี้กรรโชกแรงเหลือเกิน ร่างอันบอบบางของเธอสั่นสะท้าน เธอเอื้อมมือกอดตัวเองเมื่อตระหนักขึ้นได้ว่า เธอไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวเพราะรีบวิ่งออกจากบ้านมา ร่างกายอันสั่นเทาแม้หนาวเหน็บ ยังน้อยกว่าใจที่เจ็บปวดและแตกสลาย

เธอแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าไร้ดาว ดวงตาพร่างพรายไปด้วยม่านน้ำตา ท้องฟ้าอันมืดมิดก็คงเหมือนกับชีวิตของเธอตอนนี้สินะ ที่ไร้แสงสว่างนำทาง หนทางช่างมืดมนเหลือเกิน

พลันน้ำตาของหญิงสาวก็ไหลออกเป็นสาย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “เขาทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน” คิดแล้วเธอก็ทรุดลงนั่งบนพื้นหญ้าอันเย็นเยียบอย่างไร้เรี่ยวแรงและปล่อยโฮออกมาอย่างที่ไม่อาจกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไป

“ใครก็ได้ช่วยฉันที ฉันจะทำอย่างไรดี ถ้าฉันไม่กลับไป ลูกก็ยังเล็กอยู่ จะเป็นอย่างไร” หญิงสาวสะอื้นฮัก เมื่อนึกถึงลูก

“ถ้าฉันกลับไป เขาจะเกรี้ยวกราดและทำร้ายฉันอีกไหม”

“ถ้าฉันไม่กลับไป ฉันจะไปอยู่ที่ไหน”

ความสับสนประเดประดังเข้ามา รู้สึกเหมือนหนูติดจั่นที่โดนไฟลน รู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำตาย รู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน เธอสะอื้นฮัก นึกอยากจะจากโลกใบนี้ไปเหลือเกิน แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าน้อยๆ รอยยิ้มอันสดใส และเสียงเล็กๆ ที่คอยเรียกแม่แล้วก็ทำให้เธอมีสติขึ้นมา

“ฉันจะต้องเข้มแข็ง” เธอบอกกับตัวเอง พร้อมสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไป…แม้ว่ามันจะยากเหลือเกิน แต่เธอต้องทำให้ได้

เธอกำลังคิดหาทางออกให้กับตัวเอง พร้อมกับบอกตัวเองว่า เธอจะกลับไป และจะทนอยู่กับสามีเพราะเธอยังรักเขาอยู่ ที่ผ่านมาเขาก็เป็นสามีและพ่อที่ดี เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพิ่งจะมาช่วงหลังๆ นี่เอง ที่เขาเครียดเพราะตกงาน โชคดีนัก ที่เธอหางานทำที่ร้านนวดไทยได้ จึงประคับประคองครอบครัวได้เรื่อยมา อีกไม่นานหากเขาหางานใหม่ได้ สถานะการเงินและความตึงเครียดในครอบครัวก็คงจะดีขึ้น แต่ก่อนนี้ เขาก็แค่ดื่มเหล้านิดหน่อยเมื่อเข้าสังคม มาช่วงหลังนี่เองที่เขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนติดเหล้า และระแวงว่าเธอแอบไปพบกับลูกค้าที่ร้านนวด แม้ว่าเธอไม่เคยทำอะไรเช่นนั้นเลย หลังจากเหล้าเข้าปาก เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คอยแต่หาเรื่องเธอ พูดไม่ดีใส่เธอ แต่เธอก็ทนเรื่อยมา เพราะรู้ดีว่า เขาเครียดสะสม แต่มาวันนี้ เขาทำรุนแรงขึ้นถึงขนาดตบหน้าเธอ เมื่อเธอกลับบ้านผิดเวลา เพราะติดนวดลูกค้าแทนพี่หมอนวดคนไทยที่ลาป่วย เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดบนใบหน้าและความบอบช้ำในจิตใจ ก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลตัวเองและลูกได้หากเขากระทำรุนแรงหนักกว่านี้ขึ้นมา

เธอรู้สึกมืดแปดด้าน และกลัวเหลือเกิน…แต่ด้วยความรัก เธอยังมีความหวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีได้

ครอบครัวควรเป็นที่รวมของความรัก ความอบอุ่น ความสงบสุขไม่ใช่หรือ เธอแต่งงานกับเขาเพราะความรัก ถึงขนาดลาออกจากหน้าที่การงานที่ดีในเมืองไทย ย้ายมาอยู่ในดินแดนที่หนาวเหน็บแห่งนี้ ต้องทนกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทุกอย่าง แต่จู่ๆ สามีที่รักกลับมาทำร้ายร่างกายและจิตใจของเธอ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วหากพ่อแม่และคนรอบข้างรู้ล่ะ จะเป็นอย่างไร ตัวเธอเองก็แบกความหวังจากครอบครัวทางเมืองไทยไว้จนหนักบ่า แล้วลูกล่ะ เธอรักลูกมากเหลือเกิน ต้องการให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ เธอจะต้องรักษาครอบครัวไว้ให้ได้…หญิงสาวรู้สึกสับสน คิดวกวน ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตดี

คุณเคยตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ หรือรู้จักใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้บ้างไหมคะ?

เชื่อไหมว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักทนอยู่ในความรุนแรงก่อนในช่วงแรก เมื่อเกิดความรุนแรงซ้ำ ๆ จนทนไม่ไหว เธอจึงเลือกขอคำปรึกษาจากครอบครัวและเพื่อน รวมถึงขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาล องค์กรช่วยเหลือหญิง และตำรวจ แต่พบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวและไม่นำมาใช้ เนื่องจากไม่รู้ขั้นตอนว่าต้องทำอย่างไร และไม่มีความเชื่อมั่นว่าตนเองซึ่งเป็นผู้อาศัยในประเทศนั้น ๆ จะได้รับความยุติธรรมจากประเทศของสามี

ข้อมูลจาก UN พบว่าเกือบ 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกเคยประสบกับความรุนแรงทางร่างกายและ/หรือทางเพศอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ความรุนแรงนี้มักกระทำโดยคู่รักปัจจุบันหรือคู่รักเก่า

(https://data.unwomen.org/global-database-on-violence-against-women).

เรื่องราวตัวอย่างนี้ อาจเป็นชีวิตที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนประสบพบเจอ และรู้สึกมืดแปดด้านเมื่อเผชิญปัญหานี้ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้ประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองว่า

1. คุณยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ : ความรุนแรงที่เกิดขึ้น อยู่ในจุดไหน จุดเล็กน้อย เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก และยังสามารถพูดคุย หาทางออกและแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ หรืออยู่ในจุดที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป มีความรุนแรงและไม่ปลอดภัย จนถึงจุดที่ต้องการความปลอดภัย และควรคิดถึงคำถามปลีกย่อยเหล่านี้ว่า

– คู่ของคุณควบคุมพฤติกรรมของคุณหรือไม่?

– มีเหตุการณ์ใดบ้างที่คุณรู้สึกว่าถูกข่มขู่หรือถูกทำร้ายร่างกาย?

– เคยถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่เต็มใจหรือไม่?

– เคยถูกข่มขู่หรือถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการหรือไม่?

– เคยถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกทุบตีโดยคู่ของคุณหรือไม่?

– คุณรู้สึกปลอดภัยในบ้านของคุณหรือไม่?

    หากมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

2. มีใครที่ให้ความช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนได้บ้าง มีเพื่อน ครอบครัว สมาคมหรือองค์กรที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเมื่อต้องการหนีออกมา

– คุณต้องการความช่วยเหลือในการหาที่อยู่อาศัยใหม่หรือไม่?

– มีปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายค่าเช่าหรือค่าบ้านหรือไม่?

– ต้องการการสนับสนุนทางการเงินหรือไม่?

– ต้องการการสนับสนุนจากชุมชนหรือองค์กรใดๆ หรือไม่?

– มีเพื่อนหรือครอบครัวที่สามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์หรือไม่? รู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่?

3. ตระหนักรู้ถึงสิทธิและคุณค่าของตัวเอง

– คุณคิดว่าระบบยุติธรรมตอบสนองต่อปัญหาของคุณอย่างไร?

– มีปัญหาสุขภาพที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษและมีการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นหรือไม่?

– คุณต้องการการสนับสนุนในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่?

4. เข้าถึงข้อมูล ทรัพยากร หรือการสนับสนุนที่จะช่วยให้สามารถออกมาได้หรือยัง เช่น มีไลน์ เบอร์โทรศัพท์ แอปพลิเคชัน อีเมลของบุคคลและองค์กรที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ

5. มีความหวังในชีวิตใหม่ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปราศจากความรุนแรงเป็นสิ่งที่เริ่มต้นได้ และเราต้องทำได้

– คุณต้องการการฝึกอบรมหรือการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มทักษะในการทำงานหรือไม่?

– มีความสนใจในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และต้องการความช่วยเหลือในการหางานหรือไม่?

หากคุณหรือใครก็ตามกำลังประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว นี่คือขั้นตอนที่ควรพิจารณา

    1. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากตกอยู่ในอันตราย ควรโทรหาตำรวจหรือหน่วยงานฉุกเฉินในพื้นที่ของคุณทันที

    2. ขอความช่วยเหลือ ติดต่อสายด่วนความรุนแรงในครอบครัวหรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่

    3. รับการรักษาพยาบาล หากได้รับบาดเจ็บหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและเก็บหลักฐาน

    4. จัดทำแผนความปลอดภัย คิดถึงสถานที่ที่ปลอดภัยที่จะไปและสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม 

(อาจเตรียมเก็บเสื้อผ้าและของจำเป็นที่ต้องใช้เอาไว้ รวมถึงพาสปอร์ต บัตรประจำตัวประชาชนและเอกสารสำคัญต่างๆ)

    5. เก็บหลักฐานการละเมิด เช่น รูปภาพการบาดเจ็บ อีเมล หรือข้อความข่มขู่

    6. ปรึกษาหน่วยงานหรือบุคคลที่ช่วยสนับสนุนทางจิตใจ การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือที่ปรึกษาสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดและความกลัวได้

    เหยื่อความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ไม่ว่าเธอจะมาจากชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมใดและไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก อันตรายที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่จากคนแปลกหน้าสำหรับเธอเลย และผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ เธออาจต้องเสียชีวิตลงเพราะน้ำมือของคนที่เธอรักและคุ้นเคย Straus and Gelles,1989 ได้กล่าวว่า “โดยทั่วไปแล้ว สตรีเพศมีแนวโน้มที่จะถูกทารุณกรรม ถูกทำร้ายร่างกายและถูกฆ่าจากคนที่เธอรักภายในครอบครัวของเธอเอง มากกว่าที่จะประสบจากบุคคลอื่นหรือสถานที่อื่นๆ ในสังคม”

    ยังมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่า การถูกทำร้ายจากสามีหรือคู่รัก หรืออดีตสามี ทำให้ผู้หญิงได้รับบาดเจ็บถึงต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลถึงร้อยละ 12 ความเจ็บปวดได้สร้างแผลเป็นที่บาดลึกให้กับภรรยา ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจเสียไปตลอด ก่อให้เกิดการเจ็บปวดเรื้อรัง มีภาวะซึมเศร้า ซึ่งมีผลไปจนถึงการพยายามฆ่าตัวตาย หรือมีปัญหาติดเหล้า ยาระงับประสาทและสารเสพติด เพราะคิดว่าจะช่วยดับทุกข์ได้ ปัญหาดังกล่าวยังกระทบต่อครอบครัวส่วนรวม โดยเฉพาะหากมีลูก แม่ไม่สามารถดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ ลูกที่พยายามปกป้องช่วยเหลือแม่ อาจกลายเป็นเหยื่อถูกพ่อทำร้าย เด็กชายที่เห็นพ่อใช้ความรุนแรงต่อแม่ ก็อาจมีแนวโน้มที่จะทำในสิ่งเดียวกัน

    เหยื่อของ IPV (Intimate Partner Violence) นอกจากอาการป่วยทางกายแล้วยังประสบกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างรุนแรง เช่น ภาวะซึมเศร้า ความคิดฆ่าตัวตาย ความเครียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความประหม่า ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์รุนแรง ฝันร้าย มีปัญหาความจำ การนอนหลับผิดปกติ มีความรู้สึกผิด มีความนับถือตนเองต่ำลง เกิดภาวะเครียดหลังการถูกทำร้าย PTSD (Post Traumatic Stress Disorder) ภาวะซึมเศร้าจะทำให้พวกเธอมีความคิดต่อตนเองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทางลบ รู้สึกสูญเสียพลังอำนาจ คิดว่าตนเองบกพร่อง ไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณค่า เธอจะประเมินสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าเต็มไปด้วยอุสรรค เมื่อต้องพบกับเหตุการณ์ใดๆ ก็จะแปลเหตุการณ์นั้นๆ ไปในทางลบ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ มีความท้อแท้ สิ้นหวังกับอนาคตตัวเอง

    การเสริมพลังให้กับพวกเธอเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เธอตระหนักถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ภายในตนเอง เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า สามารถควบคุมการดำเนินชีวิตของตนเองได้ มีการปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมตามความเป็นจริง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีท่ามกลางปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เมื่อเธอเหล่านั้นมีความเข้มแข็ง จะช่วยให้เกิดความสามารถในการตัดสินใจสร้างทางเลือกเพื่อจัดการกับปัญหา มีความนับถือตนเอง (Self-esteem)  มีความสามารถในการควบคุมการดำเนินชีวิต (Personal control) มีความสามารถในตน (Self-efficacy) มีความเข้มแข็งในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ ปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ มีความหวัง มีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ (Well-being)

    การสร้างความตระหนักรู้ ของเหยื่อที่ถูกทำร้าย ให้สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือ มีความปลอดภัย ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ได้รับคำปรึกษารายบุคคล โดยใช้กระบวนการเสริมพลัง (Empowerment Process Model) จะช่วยให้พวกเธอ :

1. มีการตระหนักรู้และการยอมรับ : พวกเธอต้องตระหนักถึงปัญหาและยอมรับว่าตนเองกำลังประสบกับความรุนแรง

2. มีการตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย : ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความหมายสำหรับตนเอง เช่น การหาความปลอดภัย การพัฒนาทักษะ หรือการหางาน

3. มีการดำเนินการลงมือทำตามแผนที่วางไว้ : การหาที่พักพิง การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ

4. มีการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง : สร้างความมั่นใจในความสามารถของตนเองผ่านความสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆ ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น

5. มีการใช้ทรัพยากรและการสนับสนุนจากชุมชน : ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน เช่น การสนับสนุนทางการเงิน การให้คำปรึกษา หรือการฝึกอบรมอาชีพ

6. การประเมินผลและการปรับปรุง : ประเมินผลการดำเนินการและปรับปรุงแผนตามความจำเป็น

การช่วยเหลือด้านจิตใจสำหรับผู้หญิงที่ประสบปัญหาความรุนแรงระหว่างคู่รัก (IPV) เป็นสิ่งสำคัญมาก การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือที่ปรึกษาสามารถช่วยให้ผู้หญิงรับมือกับความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าได้ กลุ่มสนับสนุนจากคนที่มีประสบการณ์คล้ายกันจะช่วยให้พวกเธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การฝึกอบรมทักษะ เช่น การจัดการความเครียด การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการเวลา สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ การใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การฝึกลมหายใจ และการฝึกโยคะ สามารถช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสงบในจิตใจ การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือผู้หญิงที่ประสบปัญหา IPV

ปัจจุบันมีมาตรการทางกฎหมายจำนวน 1,583 มาตรการใน 193 ประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง โดยเฉพาะ 43 ประเทศในทวีปยุโรปมีมาตรการที่พร้อมใช้และองค์กรที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักรู้สึกไม่ปลอดภัย คุณสามารถค้นหาข้อมูล เพื่อขอรับความช่วยเหลือและการสนับสนุน โดยการค้นหาศูนย์บริการเฉพาะที่ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ เช่น เว็บไซต์ https://lila.help/ คลิกที่ Find Help และพิมพ์ที่อยู่ของคุณ

ภาพที่ 1 ตัวอย่างการค้นหาองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่ใกล้เคียง

ภาพที่ 2 รองเท้าส้นสูงสีแดง สัญลักษณ์ของการต่อต้านการกระทำรุนแรงระหว่างคู่รัก (IPV)

ภาพที่ 3 LA PANCHINA ROSSA : ม้านั่งสีแดง สัญลักษณ์ที่เตือนให้ผู้หญิงเห็นความสำคัญของเสียงตัวเอง ไม่ให้อยู่ในความเงียบ ให้ลุกขึ้นมาส่งเสียงต่อต้านความอยุติธรรมเพื่อต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว