ชีวิต(ไม่)ติดลบของสุ

สวัสดีค่ะ​
เมื่อวันก่อนสุได้พูดคุยกับแม่​ และเราได้สนทนาถึงเรื่องในอดีตทำให้สุมีความคิดเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเองในวัยเด็กให้เพื่อนๆได้ลองฟังกันดู​ เผื่อว่าสิ่งที่สุจะเล่านั้นมันจะทำให้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว​ที่ท้อแท้กับโชคชะตาชีวิตได้มีกำลังใจฮึดสู้อีกครั้งเพราะสุเชื่อว่าคุณอาจจะยังไม่เคยผ่านจุดที่ยากที่สุดที่สุและครอบครัวเคยได้ผ่านมาแล้วก็เป็นได้

ก่อนอื่นสุต้องบอกก่อนว่า ปัจจุบัน​สุได้อาศัยอยู่ในประเทศ​อิตาลี​ และมีครอบครัวที่น่ารัก​ หลายคนมักจะเรียกชีวิตอย่างที่สุเป็นอยู่​ว่า​ ​”มาดาม” และมองเห็นแต่ภาพในปัจจุบั​น​ ใครจะรู้ว่าสุคนนี้แหละที่ชีวิตได้จากต้นทุนที่ติดลบมาก่อน

สุจะเล่าย้อนกลับไปถึงอดีตในวัยเด็ก​ ช่วงอายุประมาน 6-7 ขวบ​ สุมีพี่น้อง​ทั้งหมดสามคน สุเป็นลูกคนกลางและเป็นผู้หญิงคนเดียว​ ในตอนนั้น สุอายุหกขวบและน้องชายขวบเศษ ๆ ส่วนพี่ชายนั้นห่างจากสุสองปี​

ตอนนั้นพ่อกับแม่ได้แยกทางกัน แม่จึงตัดสินใจพาลูกทั้งสามกับเงินติดตัวไม่กี่บาทออกระเหเร่ร่อนไปอาศัยเช่าห้องอยู่แถวสมุทรปราการ

​ต่อมา​ แม่สุได้งานทำเป็นแม่ครัวที่โรงเรียน ได้รับค่าจ้างวันละ​ 150​ บาท​ และเงิน​ 150​ บาทนี่แหละที่ต้องเอามาเลี้ยงดูคนในบ้าน​ถึง 4 ชีวิต แต่ไม่เคยมีวันไหนเลยที่แม่จะปล่อยให้ลูกอด ​เมนูประจำของเราคือ​ ข้าวผัดกะเพรา 1 ห่อ​ และ​ข้าวเปล่า 1 ถุง​ เอาคลุกให้เข้ากัน ราดด้วยน้ำปลาเพื่อเพิ่มรสชาติ​ มันเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยที่สุด​ ทุกครั้งแม่จะนั่งรอให้ลูกทั้งสามกินกันจนอิ่ม แล้วตัวเองถึงจะคอยเก็บส่วนที่เหลือกินต่อ ถ้าลูก ๆ กินกันหมด แม่ก็ต้องอดในมื้อนั้น

อยู่มาไม่นาน แม่ก็ได้คิดออกจากงานมาเร่ขายลูกโป่งและของเล่นเด็กตามตลาดนัด​ ตอนนั้น พี่ชายที่เรียนอยู่ชั้น ป. 2 และสุอยู่ชั้นอนุบาล​ เราต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ขายของและดูแลน้องที่ยังเล็ก พี่ชายจะยืนขายและจับหลักลูกโป่ง ส่วนแม่ก็คอยเป่าลูกโป่งให้พี่ชาย​ ตัวสุก็ได้รับหน้าที่ดูแลน้องอยู่ใกล้ ​ๆ ​

ทุกวันเราจะเปลี่ยนที่ขายกันไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าวันนั้นจะมีตลาดนัดที่ไหน​ให้เราไป แต่เราอยู่ที่นั้นได้ไม่นาน เราก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน

เราสี่คนแม่ลูกต้องออกระเหเร่ร่อน​อีกครั้ง​ โดยแม่ได้พาลูกทั้งสามกลับเข้ามาใน กทม​ พร้อมกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดและเงินแทบไม่มีติดตัว แม่พาเราไปอยู่ที่​ “ปากคลองตลาด”

ใช่ค่ะ​ ที่นั่นคือตลาด​ ไม่มีบ้านให้เราอยู่​ ไม่มีที่นอนให้เรานอน​ เรา​ต้องไปอาศัยนอนตามแผงผักในช่วงที่พ่อค้าแม่ค้าเขาเก็บแผงกันเสร็จ​แล้ว ​เราสี่คนแม่ลูกไปลากเอาลังกระดาษที่พอหาได้มาเป็นที่หลับนอน​ของพวกเรา และอาวุธ​คู่กายที่เราต้องมีติดตัวในทุกวันก็คือ​ยากันยุงและ​ กย15 😊

วิถีชีวิตของเราในตอนนั้น​ ถ้าเราอยากจะเข้าห้องน้ำ ก็​ต้องจ่าย 2 บาท อาบน้ำ​ 5 บาท​ นั่นคือสิ่งที่เราต้องเจอ​ และทุกวันแม่จะพาเราเดินเก็บผักที่พ่อค้าแม่ค้าเขาคัดทิ้ง เราเก็บเศษผักเหล่านั้นมาคัดแต่งใหม่ และเอาไปนั่งขาย 3 กำ 5 หรือ 3 กำ 10 ที่ตลาดเช้าที่อยู่ห่างออกไปอีก (ผักพวกนั้นยังไม่เน่าไม่เสีย แต่แค่มีรอยช้ำ หรือใบไม่สวย เลยไม่สามารถส่งขายได้ เขาจึงทิ้ง)​

พอสาย ๆ หลังจากเราขายผักกลับมา​ แม่ก็จะพาเราไปรับจ้างเด็ดพริกในตลาด โดยได้ค่าจ้างเพียงกระสอบละ​ 12 บาท​ แต่มันก็พอให้เราได้ประทังชีวิตไปในแต่ละวัน

ชีวิตไม่เคยอยู่ติดที่ แม่ได้พาเราไปเช่าห้องแถวรายวันที่มีค่าเช่าวันละ 40 บาท​ แถว​ “ตลาดดาวคนอง” สภาพห้องเช่าคือ บ้านไม้​ผุ ๆ มีทางเดินตรงกลาง และสองข้างซ้ายขวาคือห้องเช่าที่เรียงยาวกันเข้าไป​ สุดทางเดินนั้นจะมีแท้งก์น้ำขนาดใหญ่ไว้เพื่อให้คนที่เช่าอยู่ได้ใช้อาบ​ พร้อมกับห้องน้ำรวมที่สุดแสนจะสกปรดอยู่ประมาน​ 3-4 ห้อง​ (แต่มันก็ดูมีเกรดกว่านอนตลาดแหละน่า…..​😂)​

คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นส่วนมากจะเป็นคนแก่ คนพิการ​และลูกเด็กเล็กแดง ล้วนแล้วแต่มีอาชีพเหมือน ๆ กัน​ นั่นก็คือ​ “ขอทาน” จึงทำให้เราสี่คนแม่ลูกถูกชักชวนไปเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับพวกเขาด้วย​ 😁

ใช่ค่ะ​ สุเคยเป็นขอทาน​ อาชีพที่คนมองว่าน่าสมเพช​และ​เวทนา​ โดยแรกเริ่ม เพื่อนข้างห้องนี่แหละพาไป​ แต่ละวัน สุต้องเดินหลายกิโล และตลอดทาง สุกับพี่ชายก็จะพากันวิ่งไปตามโต๊ะอาหาร​ และจะพูดว่า​ “พี่คะ ขอตังซื้อข้าวกินหน่อยค่ะ” บางคนก็ให้เราเป็นเงิน แต่บางคนให้เป็นอาหารที่เขากินอยู่

อาชีพนั้นมันทำให้เรามีรายได้หลายร้อยบาทต่อวัน แถมเพียบพร้อมไปด้วยของกินดี ๆ อีกมากมาย​ 😊

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่เราเดินขอกันมาเรื่อย ๆ จนไปถึงย่านสุขุมวิท​ เราแวะนั่งพักกันอยู่ที่ใต้สะพานลอย​แห่งหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดตรงนั้นคือสุขุมวิท​ ซ.​ 19​ ก่อนมีรถไฟฟ้า)​ และแม่เลยตัดสินใจพาพวกเราขึ้นไปนั่งขอทานบนสะพาน​ จากวันนั้น เราแม่ลูกก็พากันขึ้นไปนั่งทุก…….วัน และในบางวัน สุจะขอแม่แยกไปนั่งอยู่ที่กลางสะพานคนเดียว​ สุได้แกล้งเอาแขนเข้าไปในเสื้อ​ เพื่อเรียกร้องความสงสาร​ ตามประสาของเด็กที่คิดได้ในตอนนั้น แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ​ 😂😂😂

จุดจบแห่งอิสรภาพเกิดเร็วกว่าที่คิด ระหว่างที่สุกำลังนั่งขออยู่วันหนึ่ง สุก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกน​เรียกชื่อ​ “สุ!!!!”​ ดังมาจากหัวสะพาน ​พอสุหันไป สุก็เห็นผู้ชายร่างใหญ่อีก 2-3 คนกำลังล็อคตัวแม่เอาไว้ พอสุเห็นอย่างนั้น สุก็รีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งหนี​ ในตอนนั้น สัญชาตญาณ​ของสุมันบอกว่า คนพวกนั้นต้องเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมประชาสงเคราะห์​เป็นแน่

แต่ก็ไม่ทัน เขาคว้าคอเสื้อสุไว้ได้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเข้ม​ ๆ ว่า​ “จะไปไหน” 55555 สุยังจำท่าทางและน้ำเสียงของเขาได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้สุกลัวมาก​ในตอนนั้น​

จากวินาทีนั้น เราก็รู้เลยว่า ต่อแต่นี้ชีวิตเราจะขาดอิสรภาพไปในทันที

เราโดนจับขึ้นรถตู้สีขาว ในรถมีขอทานที่โดนจับมาก่อนหน้านี้​ 4 ถึง 5 คน ​ส่วนมากเป็นคนต่างด้าว​ เราถูกส่งไปอยู่สถานแรกรับปากเกร็ด ซึ่งเป็นที่กักขังชั่วคราว​สำหรับขอทานและคนเร่ร่อน

​เมื่อครบสามวัน ทางสถานสงเคราะห์​ก็คัดแยกคนที่เป็นต่างด้าวออกไปเพื่อส่งกลับชายแดน​ ส่วนเราที่เป็นคนไทยถูกส่งต่อไปที่สถานสงเคราะห์​อื่น โดยที่ไม่มีวันได้ออกมาหากเราไม่มีญาติ​มารับ​ และนั่นเป็นปัญหาใหญ่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ให้เราติดต่อกับใครได้เลย​

แต่แม่สุก็ไม่ละความพยายามที่จะพาลูก ๆ ออกไป เมื่อมีพ่อค้าจากข้างนอกเข้ามาขายไอศครีม​ผ่านหน้าต่างลูกกรง​ที่ขังพวกเราไว้ แม่ก็ได้แอบเขียนชื่อและเบอร์โทรใส่กระดาษ โดยไหว้วานให้พ่อค้าคนนั้นโทรตามญาติ​ให้มารับเราออกไป

เมื่อครบกำหนดอีกสามวัน เราต้องถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์แห่งใหม่ ​โดยที่เขาจะแยกแม่กับลูกไปอยู่กันคนละที่​ วันนั้น​เป็นวันที่หัวใจของเด็กคนหนึ่งแทบแตกสลาย เมื่อได้รู้ว่าต้องห่างจากอกแม่ โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก​ มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดและทรมานในหัวใจของเด็ก ๆ และแม่แบบหาที่เปรียบไม่ได้​

สุถูกส่งตัวไปที่​ “สถานสงเคราะห์​เด็กพญาไท” ที่คล้าย ๆ​ เป็นโรงเรียน​ประจำ​ ตั้งแต่วันแรกที่สุได้เข้าไป ไม่มีวันไหนเลยที่สุจะไม่ร้องไห้​ น้ำตาของสุมันไหลจนแทบจะเป็นสายเลือด​ ในหัวมีแต่คำถามที่ว่า​ “แม่อยู่ไหน​ แม่ไปไหน เมื่อไหร่แม่จะมารับ” หนึ่งวินาทีในนั้น มันช่างยาวนานเหลือเกิน…….

ครั้งใดที่มีเสียงประกาศมาจากตึกประชาสัมพันธ์​ เด็กทุกคนจะเงี่ยหูรอฟังว่าจะประกาศชื่อของตัวเองหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ นั่นหมายความว่าเด็กคนนั้นจะมีญาติมาเยี่ยมหรือมารับออกไป​

จนผ่านไปได้หนึ่งเดือนที่สุได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น​ ความเจ็บปวดโหยหาของสุก็สิ้นสุดลง เมื่อสุได้ยินเสียงที่สุเฝ้ารอที่จะได้ยิน คือเสียงประกาศชื่อสุที่ดังมาจากตึกประชาสัมพันธ์​ สุดีใจมาก เหมือนความฝันที่สุรอคอยมันเป็นจริง​ สุรีบเดินตรงเข้าไปในตึก​ และเมื่อสุเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น​ สิ่งที่สุเห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ และเมื่อเธอหันมา สุเห็นใบหน้าเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม​ เธอแลดูมีความสุขมาก​ เราโผกอดกัน​ แล้วน้ำตาเราก็ไหล และมันคือที่สุดของคำว่าความสุขแล้วจริง ๆ เพราะเธอคือแม่ที่สุรอคอยอยู่ทุกวัน

หลังจากแม่รับสุออกมาจากสถานสงเคราะห์ ​เราก็ไปเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ที่​ “ท่าเตียน” แม่ไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายโจ๊ก​ ถึงแม้ค่าแรงจะยังคงน้อยนิด แต่มีที่พักให้พวกเราอยู่ฟรี​ สุได้กลับเข้าไปเรียนอีกครั้งในชั้นประถมปีที่ 1 ​สุและพี่ชายจะออกไปช่วยแม่ที่ร้านก่อนไป​โรงเรียนทุกเช้า​ แม่ทำงานเพียงแค่ครึ่งวัน จึงพอมีเวลาที่จะสามารถ​เลี้ยงดูน้องได้​

และด้วยความที่สุเป็นคนที่มีความตั้งใจในการเรียน จึงทำให้สุสอบผ่านได้ที่​ 1 ในเทอมแรกและเทอมเดียวในวิตของสุ​ สุได้เป็นตัวแทนประจำเขตไปสอบชิงทุน​ แต่มันก็ต้องจบลงแค่ตรงนั้น​ เพราะเราต้องย้ายที่อยู่กันใหม่ จึงทำให้สุและพี่ชายต้องออกจากโรงเรียนเป็นหนที่สอง (ครั้งนี้สุจำไม่ได้ว่าเพราะอะไร)​ จนสุรู้สึกว่า สุเคยชินกับการเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปแล้ว​ ครั้งนี้ เราต้องกลับไปเป็นคนไม่มีบ้านเหมือนเคย​

เราได้ไปอาศัยกันอยู่ที่​ “ตลาด​พาหุรัด” อาชีพที่เรายึดในตอนนั้นคือ​ เก็บกระดาษและพลาสติก​ไปชั่งกิโลขาย​ ในตอนเย็นหลังร้านค้าเริ่มปิด แม่พาสุกับน้องไปนั่งรอและเฝ้าของที่แม่เก็บมาไว้ที่ข้างตู้โทรศัพท์ ส่วนแม่และพี่ชายพากันลากถุงกระสอบใบใหญ่ ๆ ไปหาเดินเก็บมาไว้เพิ่ม

สุจำได้ว่าในทุกเย็นจะมีเสี่ย​ ​”ร้านทองใบ” เดินผ่านตรงนั้น และคอยหยิบยื่นของกินและเงินให้สุกับน้องเป็นประจำ​ (ขอบคุณนะคะ​ เราไม่เคยลืม 😭)​

พอช่วงค่ำ ก็จะมีรถมารับซื้อของที่เราเก็บมา ที่นอนของเราคือแผงขายผ้า​ เข้าห้องน้ำในตลาด​ แต่ถ้าเราอยากจะอาบน้ำ เราต้องนำขวดพลาสติกไปกรอกน้ำสาธารณะ​มาเพื่อไว้อาบ​ในเวลากลางคืน ซึ่งมันยากลำบากมาก​ แต่อยู่มาแค่สักพัก แม่ก็พาพวกเราไปหาเช่าห้องอยู่อีกครั้ง

ครั้งนี้ เราได้ไปอยู่ในสลัม​ “วงเวียนเล็ก” คุณจินตนาการ​คำว่า สลัม ไว้ว่ายังไงกันบ้างคะ? เพราะสิ่งที่สุได้เข้าไปสัมผัส​มัน คือ​ ห้องเช่าที่ตั้งอยู่ในน้ำโคลนน้ำเน่า​ สร้างจากไม้ผุ ๆ เก่า ๆ และล้อมรอบด้วยสังกะสี​ มีคนอาศัยอยู่​ 40-50 หลังคาเรือน ในพื้น​ที่ไม่กี่ตารางเมตร มันแออัดมาก

ถ้าบ้านไหนพอมีเงินก็จะมีห้องน้ำไว้ใช้ และจะเปิดให้บ้านอื่นเข้ามาใช้ โดยเก็บค่าเข้าครั้งละ 2 บาท​ แต่ละห้องเช่าจะมีตุ่มน้ำวางไว้ให้ที่หน้าห้องหนึ่งใบ​ โดยค่าเช่าห้องวันละ​ 30-40 บาท​ และค่าน้ำตุ่มละ 12 บาท​ โดยเราต้องไปลากสายยางมาเปิดน้ำใส่ตุ่มไว้ทำกับข้าวและอาบ​ พอน้ำเต็ม เจ้าของน้ำก็จะมาเก็บสายยางนั้นกลับไป​ คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีอาชีพ​หาบถั่วขาย​ ขายพวงมาลัยตามไฟแดง​ ขอทาน​ จนไปถึงค้ายา​

หลังจากที่เราได้ที่อยู่​ แม่ก็เริ่มหาขายของจากทุนเพียงน้อยนิด แม่ลงทุนซื้อรถเข็นหนึ่งคัน​ เตาหนึ่งใบ​ และครกหนึ่งลูกไปนั่งขายน้ำพริกปลาทู​ ทุกเย็น แม่พาน้องนั่งในรถเข็น เข็นข้ามสะพานพุทธ​เพื่อไปขายที่พาหุรัด และมีลูกอีกสองคนคอยเดินตาม

​ช่วงไหนที่เป็นหน้าเทศกาล​ เทกระจาด​ เราก็จะพากันไปรับแจก​ข้าวสารอาหารแห้ง มันเลยพอทำให้เราได้มีข้าวสารไว้หุงกิน​

มีอยู่วันหนึ่ง เรารู้สึกอยากกินทุเรียน แต่ด้วยราคาที่แพง​ (สำหรับเราในตอนนั้น)​ เราพี่น้องเลยพากันเดินเข้าไปร้านทุเรียนในตลาด​ และเข้าไปบอกเขาว่า​ “พี่มีทุเรียนลูกแตก ๆ ไหมคะ หนูขอให้น้องหนูกินหน่อย​ 😭” (เพราะลูกแตก ๆ เขาขายไม่ออก)​ พอเราได้ทุเรียน เราก็เดินข้ามสะพานพุทธ​กลับมาและกินกันอย่างเอร็ดอร่อย​ 😊

หลังจากชีวิตช่วงนั้น เราก็ยึดอาชีพค้าขายกันมาเรื่อย และได้เปลี่ยนสินค้ากันไปหลายอย่าง​ จนพอที่จะมีเงินที่จะย้ายที่อยู่ใหม่​ เปลี่ยนจากบ้านสังกะสีไปเป็นบ้านไม้เหมือนเดิม​

ต่อมาชีวิตเราก็เริ่มทรงตัว พอที่จะค้าขายได้ และก็มีบ้านให้เราอยู่​ มีที่นอนให้เรานอน​ แถมอยู่ต่อมา แม่ก็ซื้อโทรทัศน์​ขาวดำมือสอง​ 14 นิ้ว​ ให้พวกเราไว้ดู​ด้วย (เราจะได้ไม่ต้องไปเกาะหน้าต่างบ้านคนอื่นเขาดูแล้ว😁)

นั่นแหละค่ะ ช่วงชีวิตที่ลำบากที่สุดของเรา​ ถามว่าหลังจากนั้นเราสบายขึ้นแล้วเหรอ​ ก็ไม่สบายหรอกค่ะ​ แต่ก็ไม่ได้ลำบากถึงตอนนั้น​ และชีวิตเราก็ค่อยดีขึ้น​เรื่อย ๆ (สำหรับเรา)​

ถึงแม้ว่าชีวิตนี้สุจะไม่ได้เข้าห้องเรียนเพื่อไปนั่งเรียนหนังสือ​เหมือนใครเขา แต่สุก็หาความรู้ได้จากประสบการณ์ชีวิตและจากผู้คนที่สุพบเจอ​

สุขอจบเรื่องราวไว้แต่เพียงเท่านี้นะคะ​ หวังว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เข้ามาอ่านจะมีกำลังใจในการใช้ชีวิต และก้าวเดินต่อไปข้างหน้า​ ☺️ และขอฝากข้อคิดดีๆไว้ด้วยนะคะว่า​ 👇

บางที​ ก็ไม่จำเป็น
ต้องยืนอยู่ในจุดที่ดีที่สุด
แค่รู้จัก……..ทำตัวเอง
ให้มีความสุข ในจุดที่เรายืนก็พอ☺️☺️☺️
_________________________

ฝากกดไลค์​ กดแชร์​ และคอมเม้นเพื่อเป็นกำลังให้กับใครหลาย ๆ คนด้วยนะคะ
ปล. จุดประสงค์ในการบอกเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เพื่อนเห็นอีกมุมชีวิตหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยได้เห็น​เท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด